วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

สองเครือน้ําตาหลั่ง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สองเครือน้ำตาหลั่ง

เมื่อนานมาแล้ว  มีสามีภรรยาอยู่คู่หนึ่งอยู่กินด้วยกันมีลูกกันถึงอยู่ 7 คน แต่จะว่า 7 คนนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะสามีนั้น มีเมียและมีลูกมาแล้ว 4 คน ภรรยาที่อยู่ด้วยกันคนปัจจุบัน มีลูกให้อีก 3 คน แต่เมียคนแรกตายไปแล้ว เป็นอันว่าลูกทั้งหมดเป็น 7 คน  ลูกทั้งหมดก็เป็นหญิงล้วน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปเรียนมหาลัยที่ต่างจังหวัด ทั้ง 7 ก็ได้ไล่เลี่ยกันไป ทองพันแม่ของลูกทั้ง 7 คนได้ไปส่งลูกที่สถานีรถไฟ หากแต่ทว่า บัวตองและหนึ่งฤทัย ได้แอบลอบลงไปจากรถไฟ แอบหนีไปหาแฟนที่กระท่อมปลายนาของหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับบ้านของตนที่อาศัยอยู่เดิม คู่ของหนึ่งฤทัยนั้นได้หนีไปอยู่ไต้หวัน ส่วนทางด้านคู่ของบัวตองได้ไปอยู่ที่นาร้าง จนกระทั่งมีลูก
ผัวของบัวตองชื่อ คำไผ่ วันหนึ่งคำไผ่ได้ออกจากกระท่อมปลายนาไปหาปลา ในตอนนั้นบัวตองท้องแก่ เจ็บจะคลอดลูกท้องอย่างแรง ยายขมิ้น ได้ผ่านมาหาหน่อไม้และพบเข้า จึงช่วยทำคลอดให้กับบัวตอง พอทำคลอดเสร็จแล้ว ยายขมิ้นก็นึกได้ว่าหน้าคุ้นๆ หลังจากนั้นไม่นานจึงนึกออกว่าเป็น บัวตอง ลูกนางทองพันนี่เอง จึงนำข่าวไปบอกแก่นางทองพันให้ทราบ ส่วนผัวของนางทองพันได้ยินเรื่องเข้าแกก็โกรธและรีบวิ่งแจ้นไปหาไอ้คำไผ่ พอเจอก็เกิดการต่อยตีกัน จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต นางทองพันก็ดุด่าว่ากล่าวลูก ว่าส่งให้ไปร่ำไปเรียนดันมาทำอัปรีย์เยี่ยงนี้ พูดไปด่าไปจากโมโห กลายเป็นร้องไห้ไปเสีย และไปหาพ่อกับแม่ของคำไผ่ ซึ่งมีฐานะเป็นถึง ขุนนางเก่า ให้มาสู่ขอนางบัวตองให้ถูกจารีตประเพณี แต่เศรษฐีหาได้สนใจไม่ พร้อมทั้งบอกว่ากับนางทองพันว่า ลูกของตนเองไม่มีทางทำอย่างนั้นเป็นอันขาด
นางทองพันไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะสามีก็ถูกจับ ข้อหาทำร้ายร่างกาย ตำรวจก็มีแต่จับอย่างเดียวเพื่อเอาแต่ผลงาน นางทองพันเลย จับนางบัวตองบวชชี ส่วนหลานนั้น นางจะเป็นคนดูแลเอง เวลาผ่านไปได้ 1 อาทิตย์ บัวตองก็ได้แอบหนีออกจากวัด ไปหาคำไผ่อีก เมื่อนางทองพันรู้เข้าก็ได้แต่ด่าและจับล่ามโซ่ไว้ที่บ้าน ส่วนคำไผ่นั้นก็ได้แต่คิดหาวิธีที่จะพานางบัวตองเมียของตนหนี จนสามารถทำได้สำเร็จ ปล่อยให้นางทองพันเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว นางทองพันได้แต่กล่อมหลานไกวเปลเห่ร้องอย่างเดียวดาย ส่วนสามีนั้นพอออกมาจากคุกมาก็ได้กลับมาช่วยดูแลอย่างแต่เดิม แต่ไม่มีปัญหาอะไรเพราะลูก ทั้ง 5 ยังเหลืออยู่ เอ๊ะ หรือว่า ลูกทั้ง 5 นั้น จะทำประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
- บุญคุณพ่อแม่นี้หนักเกิ่ง ธรณี ผู้ได้ยอเยินยก สิรุ่งเรื่องไปหน้า ผู้ได้วาจาต้านสองเครือน้ำตาหลั่ง บาปท่อฟ้าเวรกรรมท่อแผ่นดิน

ที่มา : http://www.nithan.in.th/

คนเเจวเรือจ้างกับนักศึกษา



มีนักศึกษาผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง   ได้ทำการว่าจ้างเรือแจวให้พาข้ามฟาก
ในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม   และลมเริ่มพัดจนน้ำเกิด
เป็นระลอกคลื่นเล็กๆ
เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ   จนเมื่อเรือได้เข้าสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกราด   คนแจวเรือจึงต้องใช้ความ
อย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก   ส่วนฝ่ายนักศึกษานั้นกำลังนั่งก้มหน้าหนังสือเล่มใหญ่อยู่   จนในที่สุดนักศึกษาก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจากตำราแล้วมองไปยังคนแจวเรือ
“ลุงๆเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์บ้างไหม?”   นักศึกษาเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เคยเลยครับ”   คนแจวเรือจ้างตอบด้วยนำ้เสียงที่แผ่วเบา
“ถ้างั้นลุงก็พลาดโอกาสเสียแล้วหละ   ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง   เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่าน
มีเรื่องของกษัตริย์และราชินีในสมัยอดีต   รวมถึงเรื่องของสงคราม  การต่อสู้   ทำให้เราสามารถรู้ว่าคนในสมัยโบราณ
ใช้ชีวิตกันแบบไหน  แต่งกายกันอย่างไร   ประวัติศาสตร์จะบอกให้ได้รู้ถึงความเจริญและความเสื่อมลงของชนชาติต่างๆ
ทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?”
“ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ”   คนแจวเรือตอบ
คนแจวเรือก็ยังคงแจวเรือต่อไป ส่วนนักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง  นักศึกษาก็เอ่ยถามคนแจวเรือขึ้นอีก   ”ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?”
“ไม่เคยเลยครับ”
“ภูมิศาสตร์   เป็นวิชาที่สอนให้เราได้รู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ   และยังรวมถึงกระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝน  นะลุง
วิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก   ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?”
“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือตอบ
นักศึกษาส่ายหน้า
“ถ้าไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงก็เหมือนไม่มีค่าอะไรเลย”
“วิทยาศาสตร์ละลุง   เคยอ่านบ้างรึเปล่า”
“ไม่เคยอีกแหละคุณ”
“ลุงเนี่ยนะเป็นคนยังไงกันแน่?   วิทยาศาสตร์ที่ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ   ลุงรู้มั้ยความก้าวหน้าของคนเราในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรงเลยนะ   นักวิทยาศาสตร์เป็นคนที่สำคัญอย่างมากในโลกนี้เลยก็ว่าได้
แต่นี่อะไรลุงกลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เอาเสียเลย   ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเสียเหลือเกิน”
นักศึกษาปิดตำราของเขา   และนั่งเงียบไม่พูดอะไรขึ้นอีก ในช่วงเวลานั้นก้อนเมฆสีดำได้แผ่ขยายและปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ลมเริ่มพัดแรงขึ้น  มีฟ้าแลบแปลบปลาบ   เป็นเหตุบอกว่าพายุกำลังจะมา   และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกกว่าครึ่งซึ่งไกลมากกว่าจะถึงฝั่ง
คนแจวเรือแหงนขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น   ”ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาถึงเราในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?”
นักศึกษาพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจกลัว
“ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง”
บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างประหลาดใจบ้างแล้ว   และพูดว่า
“อะไรกัน   นี่คุณว่ายน้ำไม่เป็นหรอกรึ   คุณมีความรอบรู้มากมายออกขนาดนี้   ประวัติศาสตร์เอย
ภูมิศาสตร์เอย   และวิชาวิทยาศาสตร์เอยคุณก็รู้   แต่ทำไมคุณถึงไม่ไปเรียนการ
ว่ายน้ำด้วยเล่า   อีกสักประเดี๋ยวเถอะ   คุณก็จะได้รู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย”
ลมพายุพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ   เรือแจวลำน้อยถูกคลื่นและลมโหมซัดพัดกระหน่ำใส่เข้ามา
ในไม่ช้าไม่นานเรือแจวก็ถูกคลื่นและพายุซัดจนเรือพลิกคว่ำคนแจวเรือจ้างสามารถ
ว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย    แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสาร
ได้จมหายไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดนั้นเอง

ที่มา : http://www.nithan.in.th/


วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ปู่ปันแน


นิทานล้านนาเรื่องปู่ปันแน เป็นนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ที่มีเนื้อหาสนุกเพลิดเพลินและขบขัน พร้อมทั้งให้แง่คิดและคติสอนใจในการใช้ชีวิตไว้อีกด้วย
ในรัชสมัยที่นครพิงค์ยังมีเจ้าผู้ครองนครอยู่ทุกๆ สามปี… เจ้าผู้ครองนครจะต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองไปเป็นบรรณาการทางกรุงเทพฯเป็นประจำ… กาลครั้งนั้นอำนาจในการปกครองดูแลบังคับปัญชาประชาชนพลเมืองเป็นของเจ้าผู้ครองนครแต่ผู้เดียว… จึงเรียกท่านว่าพ่อเจ้าชีวิต… เมื่อใครกระทำผิด เช่นลักพริก ลักมะเขือและผัก หากถูกจับได้จะถูกประหารชีวิตทันทีพ่อเจ้าท่านว่ามันเป็นคนเกียจคร้าน มีนิสัยเป็นผู้ร้ายจริง ๆ เขาปลูกเขาฝังทำไมไม่ปลูกฝังอย่างเขาบ้าง… กรณีลักช้าง ม้า วัว ควาย หากถูกจับได้ท่านให้ปล่อยมันไป เพราะมันอยากใคร่ได้อยากใคร่มี
นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องปู่ปันแน
ในคุ้มหลวงอันเป็นที่ประทับของพ่อเจ้าชีวิต จะมีข้าราชบริพาร นางสนมกำนัล และเขนคือตำรวจหลวงเฝ้ารักษาอยู่ นอกจากนั้นยังมีศิลปินผู้มีชื่อในทางเป่าปี่อีกคนหนึ่ง ซึ่งคนทั่วๆไปเรียกกันว่า ‘’ปู่ปันแน”… ในกระบวนเป่าปี่ด้วยกันแล้วทั่วทั้งนครพิงค์หาตัวจับแกไม่ได้ ไม่ว่าเพลงนั้นจะยากและยาวเท่าไร หากปู่ปันได้เป่าแล้ว แกจะเป่าได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง เสียงปี่จะแจ้วเจื้อยติดต่อกันไม่ขาดเสียง เพราะแกสามารถระบายลมได้ เคยมีการแข่งขันเป่าปี่กันหลายครั้ง ปรากฏว่าปู่ปันชนะทุกๆคราว
ด้วยเหตุนี้ พ่อเจ้าชีวิตจึงโปรดเกล้าฯให้ปู่ปันเป็นข้าราชสำนัก เนื่องจากการเป็นศิลปินเอกทำให้ปู่ปันชอบทำอะไรตามใจชอบ พอว่างงานก็ดื่มสุรายิ่งดื่มก็ยิ่งเพลิน เวลาเมาแกจะเอะอะชกต่อยทะเลาะวิวาทกับชาวบ้าน ชาวบ้านเกรงกลัวอำนาจพ่อเจ้าจึงไม่อยากเอาเรื่อง… การที่ปู่ปันปฏิบัติเช่นนี้บ่อยๆ ก็เลยเป็นนิสัย ดังนั้นเวลาปู่ปันเมาครั้งไรมักจะก่อเรื่องก่อราวขึ้นเสมอ… ชาวบ้านบางคนทนไม่ได้ก็นำความกราบทูลกล่าวโทษต่อพ่อเจ้าชีวิต… พ่อเจ้าลงโทษตักเตือนว่ากล่าวหลายครั้งหลายหน ครั้นจะลงโทษรุนแรงลงไปก็สงสาร… การที่พ่อเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ยิ่งทำให้ปู่ปันได้ใจและผยองตัว… คิดว่าตนนั้นเป็นบุคคลสำคัญแม้แต่พ่อเจ้าก็ไม่กล้าลงโทษหนัก
จนกระทั่งวันหนึ่ง… ปู่ปันเมาเหล้าเอะอะอาละวาดบริเวณบ้านหนองคำท้าทายชาวบ้าน… ชาวบ้านพอเห็นปู่ปันเมาต่างพากันหลบเข้าบ้านเสีย ปิดประตูเงียบ… ปู่ปันเห็นชาวบ้านเข้าบ้านรู้สึกไม่พอใจ จึงเดินเปะปะไปจนกระทั่งพบกองอิฐข้างถนน ปู่ปันดีใจตรงเข้าหากองอิฐนั้น… คว้าเอาก้อนอิฐมาขว้างไปยังหลังคาบ้านบริเวณใกล้เคียง… ทำให้บ้านเรือนชาวบ้านเสียหายมากมาย… เมื่อปู่ปันขว้างจนพอใจก็กลับคุ้มหลวงเหมือนไม่มีเหตุอะไร
ครั้นรุ่งเช้า… ชาวบ้านได้รับความเสียหาย นำเอาความนี้ไปร้องเรียนต่อพ่อเจ้าชีวิต… พ่อเจ้าชีวิตออกไปตรวจเหตุการณ์ที่เกิดเหตุทันที และเห็นว่าปู่ปันทำครั้งนี้เป็นความผิดอันใหญ่… จึงสั่งให้นำเอาตัวปู่ปันไปจองจำไว้ในคุก… พอดีขณะนั้นทางแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ช่วยกันจับกะเหรี่ยงผู้หนึ่งชื่อว่า “พะสะกอ” ในข้อหาว่าปล้นทรัพย์และฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย พ่อเจ้าชีวิตสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิต… การที่จะนำเอาใครไปประหารชีวิตจะต้องนำเอาผู้นั้นตระเวนรอบๆเมืองครบสามวันก่อน และป่าวประกาศมิให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง… ผู้ถูกประหารจะถูกจองจำครบ 5 ประการ คือ เท้าใส่ตรวน เท้าติดขื่อไม้ โซ่ล่ามคอ คาใส่คอทับโซ่ และมือทั้งสองสอดเข้าไปในคาไปตอดไปติดกับขื่อที่ทำด้วยไม้เขนนำพะสะกอแห่ไปรอบเมือง
… จนกระทั่งวันที่สามอันเป็นวันสุดท้าย… ขบวนนำนักโทษประหารผ่านคุ้มหลวงอันเป็นที่ประทับของพ่อเจ้าชีวิต… พ่อเจ้าชีวิตเห็นผู้คนมากมายรู้สึกสงสัย จึงถามข้าราชบริพารว่า ‘’ชาวเมืองเขาดูอะไรกันนั่น‘’ ข้าราชบริพารกราบทูลว่า ”เขานำตัวกะเหรี่ยงชื่อ พะสะกอ ไปประหารชีวิตพะย่ะค่ะ‘’… เจ้าหลวงระลึกถึงปู่ปันแนได้ว่า มันประพฤติผิดโทษร้ายแรงสมควรที่จะลงโทษไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างต่อ ไป พ่อเจ้าจึงบอกให้เขนว่า ‘‘เอ่อ บอกเปิ้นรอกำ ขอฝากปู่ปันแนไปคนเต๊อะ” (เออ บอกให้เขารอประเดี๋ยว ขอฝากตาปันไปคน)
ขบวนประหารได้นำผู้ต้องโทษทั้งสองไปประหารยังตำบลท่าวังตาล… เมื่อประหารเสร็จแล้วก็นำความมากราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ… เรื่องราวของปู่ปันแนศิลปินเป่าปี่ก็อวสานลงด้วยอาญาของพ่อเจ้าชีวิต… แม้ว่าพระองค์จะเสียดายสักเท่าไรก็ตาม… แต่เมื่อผิดกฎหมายแล้วก็ต้องปฏิบัติไปอย่างเที่ยงธรรม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. อันสันดานคนพาลนั้น… เมื่อรู้ว่ามีคนคอยปกป้องแล้วย่อมได้ใจ และจะพาลหนักขึ้น… การเป็นใหญ่จะต้องปฏิบัติอะไรให้เสมอหน้ากัน… อย่าเลือกปฏิบัติให้เสียความเป็นธรรม
2. ‘’ ได้ดีแล้วอย่าลืมตัว…เหมือนกิ้งก่าได้ทอง ”


ที่มา : http://bkkseek.com

ชะตามะกอกแห้ง


นิทานล้านนาเรื่องชะตามะกอกแห้ง
มีสองคนผัวเมียติดตามกันมาหลายชาติ…ผัวไม่ชอบทำบุญให้ทานเอาแต่ดื่มเหล้าเมาสุรา เล่นไพ่ เล่นลูกเต๋า และเล่นไก่ชน…ส่วนเมียเป็นคนชอบทำบุญให้ทานใฝ่ใจในทางกุศลทุกชาติ…อยู่มาชาติหนึ่ง เมียนึ่งข้าวไว้แล้วแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้กินกันสองคนผัวเมีย…อีกส่วนหนึ่งเอาไว้ตักบาตร และตั้งปรารถนาไว้ว่า”หากตายไปชาติใดขอให้ได้พ้นจากผัวคนนี้ อย่าได้พบกันอีกเลย”… ฝ่ายผัวได้ยินก็ตั้งปรารถนาว่า”จะเกิดชาติใดก็ขอให้ได้พบเมียตนทุกชาติ”
อีกหลายชาติต่อมา…ด้วยผลบุญที่ทำไว้มาก…เมียก็ไปเกิดเป็นลูกพญาเจ้าเมืองซึ่งเป็นคนใจบุญได้สร้างหอทำบุญไว้ตรงประตูเมือง มีคนมาขอทานทุกวัน และมีบัญชีจดไว้ว่าวันหนึ่งๆ มีผู้หญิงกี่คนชายกี่คน…ในชาตินั้นผัวก็ได้เกิดมาเป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่ใส่เสื้อขาดหน้าปะหลังมาขอทาน…ด้วยเป็นบุพเพสันนิวาสในชาติก่อน แต่ละชาติก็ไม่ละทิ้งกัน…หญิงคนนั้นพอเห็นก็สงสารและมีความเอ็นดูว่าชายคนนี้มีรูปงามจริง ไฉนจึงยากจนนัก เห็นจะเป็นเพราะชาติก่อนไม่ได้ทำบุญให้ทานเสียกระมัง จึงอยากจะให้ทานเสื้อผ้าแก่ชายคนนั้น
วันหนึ่งนางก็ไปถามเสมียนว่า ”วันนี้มีคนมาขอทานกี่คน” เสมียนบอกว่า ‘’วันนี้มีคนมาขอทานเก้าสิบแปดคน” นางจะให้ทานเสื้อก็ไปสั่งเสื้อมาเก้าสิบแปดผืน รุ่งขึ้นก็ให้เข้ามาขอทานแล้วก็บอกว่า ‘’พวกผู้ชายรับห่อข้าวแล้วให้ไปเข้าแถวทางด้านตะวันออกเป็นหัวแถว ทางด้านตะวันตกเป็นหางแถว ให้นั่งเรียงกันดีๆ” พอดีวันนั้นมีขอทานมาเพิ่มอีกคนหนึ่งเป็นเก้าสิบเก้าคน แต่ผ้ามีเก้าสิบแปดผืน นางบอกคนใช้ให้แจกทางหัวแถวไปทางทิศตะวันตก พอแจกไปก็ขาดตรงที่ผัวนาง… พอรุ่งขึ้นทุกคนก็ใส่เสื้อใหม่มากันหมด…ผัวนางก็ยังใส่เสื้อเก่า…หญิงคนที่เป็นเมียก็ให้ห่อข้าวแล้วถามว่า ‘’ เป็นยังไงถึงไม่ใส่เสื้อใหม่มาเพื่อนคนอื่น ๆ เขาใส่เสื้อใหม่กันทุกคน ‘’ ‘’ ข้าไม่ได้รับ เพราะข้าไปนั่งสุดท้ายแถว ” ‘’ ขาดไปกี่คนขาดเฉพาะข้าคนเดียวนี่แหละ‘’ ‘’พรุ่งนี้จะให้ทานกางเกงนะ‘’
นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ชะตามะกอกแห้ง
นางก็ถามเสมียนว่า ‘’วันนี้ขอทานมากี่คน‘’ เก้าสิบเก้าคน ‘’เอากางเกงมาเก้าสิบเก้าตัวนะ” ตอนนี้กลับมีคนเพิ่มอีกคนรวมเป็นหนึ่งร้อยคน ตอนนี้นางก็บอกว่า “ทางทิศตะวันออกเป็นหัวแถว ทางทิศตะวันตกเป็นท้ายแถว”…เพราะว่าวันก่อนผัวนางไปนั่งอยู่ท้ายสุดและไม่ได้เสื้อ…ตอนนี้มีคนมาเพิ่มอีกคนเป็นหนึ่งร้อยคน กางเกงมีเก้าสิบเก้าตัว นางก็บอกว่าให้แจกทางซ้ายขึ้นมาก่อน เพราะว่าเมื่อวานนี้ขาดไปทางท้ายแถว…พอแจกทางท้ายก็ขาดทางหัวแถว ในที่สุดผัวนางก็ยังต้องใส่เสื้อตัวเก่านุ่งกางเกงตัวเก่าตามเคย…รุ่งขึ้นนางก็ถามว่า ‘’พี่ชายทำไมยังใส่เสื้อเก่าอยู่ล่ะ ก็เมื่อวานนี้ยังไม่ได้รับแจกหรือ” “ไม่ได้” ‘’ไปนั่งทางไหนล่ะ” ‘’ ไปนั่งท้ายแถวโน่น ‘’ …” ไม่ได้กี่คน ‘’ ไม่ได้ข้าคนเดียว ‘’ นางก็สอบถามเสมียนดูก็ปรากฏว่ามีคนมาเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยคนจริงๆ จึงได้ขาดไปหนึ่งคน
…รุ่งขึ้นนางก็อยากจะให้ทานเสื้อผ้าแก่ผัวของนางคนเดียวเพราะนางรักอยู่คนเดียว ครั้นจะให้ทานอยู่คนเดียวก็เกรงว่าจะเป็นการลำเอียง นางก็สั่งมาอีกร้อยชุดทั้งเสื้อและกางเกง คิดหาทางจะให้ผัวนางได้รับให้ได้ แต่ในวันนี้ก็กลับมีคนมาจากไหนก็ไม่รู้มาเพิ่มอีกคนหนึ่งเป็นร้อยหนึ่งคน นางให้เข้าแถวทางทิศตะวันออกเป็นหัวแถว ทางตะวันตกเป็นหางแถว ชายคนนั้นก็วิ่งขึ้นวิ่งลง จะไปนั่งทางท้ายแถวก็กลัวจะไม่ได้จะไปนั่งทางหัวแถวก็กลัวจะไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดีคิดไปคิดมา ก็นับตั้งแต่หัวแถวมาถึงคนที่ห้าสิบแล้วก็ไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลาง นางสั่งคนแจกว่า แจกทางด้านตะวันออกมาห้าสิบแล้วแจกทางตะวันตกมาอีกหาสิบ ฝ่ายผัวซึ่งไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลาง นางสั่งคนแจกว่า แจกทางด้านตะวันออกมาห้าสิบแล้วแจกทางตะวันตกมาอีกห้าสิบ ฝ่ายผัวซึ่งไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลางก็เลยไม่ได้ รุ่งขึ้นก็ใส่เสื้อเก่ากางเกงเก่ามาอีกปุๆ ปะๆ ขาดๆ มาหาเมีย นางก็ถามว่า ‘’ทำไมไม่ใส่เสื้อใหม่มาล่ะ‘’ ใคร ๆ เขาก็ใส่ใหม่กันทุกคนไปนั่งอยู่ตรงไหนอีกล่ะ‘’ ‘’ข้าไม่ได้นั่งตรงไหน ข้าไปแทรกอยู่ตรงกลาง‘’ ‘’โองั้นขาดไปอีกกี่คน” “ก็ขาดข้าคนเดียวนี่แหละ” ไปถามเสมียนดูก็ได้ความว่ามีคนมาเพิ่มจำนวนอีกเป็นร้อยเอ็ดคน ‘’
จะทำยังไงดีน้า จะช่วยมันอย่างไรดีไม่ให้ขาดตรงมันจะทำยังไงดี พอถึงกลางคืนนางก็มานอนคิด ได้ความว่าเอาทองหนักสิบบาทมาใส่ในข้าวห่อแล้วทำเครื่องหมายไว้ รุ่งขึ้นพอมันมาก็จะยกข้าวห่อให้มันแต่พอมันได้ข้าวห่อแล้วก็เอาไปแลกเหล้าเขากินเสีย รุ่งขึ้นก็ยังขอทานอีก นางก็ถามว่า ‘’ พี่ชายเอาข้าวห่อไปไม่ได้กินหรืออย่างไร ‘’ …” ไม่ได้กินหรอก ‘’ พี่ชายเอาไปไหนเสียล่ะ ” เอาไปแลกเหล้ากินเสียแล้ว ” ‘’ โอ พี่ชายคนนี้มันเป็นอย่างไรของมันหนอ ไม่มีบุญ ไม่มีกุศล ไม่ได้สั่งสม ไม่ได้ทำทาน ไม่ได้บริจาคไว้กระมัง มันถึงไม่ได้รับของทานสักครั้ง ‘’
นางเองนอนคิดทั้งคืนก็ยิ่งทำให้เป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม…เอาทองหนักอีกยี่สอบบาทใส่ในข้าวกล่องให้อีก รุ่งขึ้นก็ยกข้าวห่อที่ใส่ทองไว้หนักยี่สิบบาทไปให้ ‘‘พี่ชาย วันนี้อย่าเอาไปแลกเหล้าอีกนะ แล้วก็อย่าเอาไปขายด้วยขอให้เอาไปกินจริง ๆ นะ” เมื่อลูกสาวพญาเจ้าเมืองสั่งเช่นนั้นก็มีความยินดีนัก จะเอาไปกินตรงไหนก็ไม่เหมาะใจ มีต้นนกยูงต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาลงไปทางแม่น้ำปิงโน่น…ในขณะนั้นน้ำกำลังท่วม ชายคนนั้นก็ไต่กิ่งไม้ขึ้นไปแก้ห่อข้าวกินอยู่บนกิ่งไม้นั้นเพื่อให้สมเกียรติแก่นางผู้ให้ แก้ห่อข้าวอย่างระมัดระวัง ทองมันหนักถึงยี่สิบบาทแก้ไปแก้มา ห่อข้าวก็ตะลุมปุ๋มป๋ำไปในน้ำโน่นจนได้…ไม่ได้กินข้าวแม้คำเดียว…รุ่งขึ้นก็ไปขอทานอีก ” พี่ชายทำไมยังมาขอทานอยู่อีกล่ะไม่ได้กินข้าวอีกหรือ ” ‘’ กินก็ไม่ได้กินแม่น้อง ” ‘’พี่ชายไปกินตรงไหนล่ะ ” ‘’ กินบนต้นไม้ริมแม่น้ำโน่นอะไรก็ไม่รู้อยู่ในห่อข้าวแม่น้องเลยตกลงไปในน้ำเสียแล้ว 
เธอคิดในใจว่านายคนนี้ต้องไม่ได้ทำบุญกุศลอะไรไว้แน่…ยิ่งมีความสงสารมากขึ้น ‘’ พี่ชายกินข้าวเช้าแล้วให้เข้าไปบ้านนะ ” เมื่อเข้าไปถึงบ้านแล้ว นางถามว่า ‘’ พี่ชายทำอะไรได้บ้าง มีวิชาความรู้อะไรบ้าง ” ‘’ ยิงด้ามไม้เป็น ยิงกบเก่ง ‘’ ดังนั้นนางจึงเอาปืนให้กระบอกหนึ่ง ‘’ พี่ชายปืนนี้ถ้ายิงขึ้นฟ้าแล้วตกลงมาแผ่นดินลึกสักหนึ่งวา กว้างหนึ่งวา ก็จะเอาทองเอาเงินใส่ให้เท่าที่น้ำหนักดินชั่งได้ ถ้าตกโดนอะไรในราคาเท่าไร ก็จะใช้ให้เท่าราคานั้น ชายคนนั้นก็ยินดีว่าตนจะได้เงินได้ทองตอนหนนี้กระมัง…อออกไปกลางทุ่งนา มีกรรมการไปด้วย 3 คน ‘’ เอ้า…ได้เวลาแล้วเตรียมยิงปืนขึ้นบนอากาศได้ 1 – 2 – 3 เป็ง ” เสียงปืนดังหวิว ๆ ตกใส่ลูกมะกอกแห้ง ชั่งหนัก ๒ สลึง…นายคนนั้นก็ได้ทอง ๒ สลึง…อย่างนี้เขาเรียกว่า “ชะตามะกอกแห้ง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
1. คนโบราณเชื่อว่า”คนชะตาไม่ดีทำอะไรย่อมไม่สมหวัง”…
2. แต่ทางพระพุทธศาสนาสอนให้ “ใช้ปัญญาและขันติธรรม… จึงจะพบความสำเร็จ
2. คติ ‘สอนให้คนประพฤติดี ละความชั่ว ”


ที่มา : http://bkkseek.com

ท้าววัวทอง (อุ่นหล้าวัวทอง)

 ท้าววัวทอง (อุ่นหล้าวัวทอง) อักษรธรรม 8 ผูก วัดเวฬุวัน ต.กุดยางลวด อ.ตระการพืชผล จ. อุบลราชธานี
พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นวัวตัวใหญ่ เรียกว่า “วัวทอง” เป็นสัตว์เลี้ยงของนายพรานป่า ผู้ที่เลี้ยงวัวทองคือ” ท้าวอุ่นหล้า” ลูกชายของนายพรานป่า… ต่อมานายพรานป่าได้นางผีปอบมาเป็นภรรยาคนที่สอง นางผีปอบจับแม่ของท้าวอุ่นหล้ากินเสีย วัวทองจึงพาอุ่นหล้าหนีไปอยู่ที่อื่น
ท้าววัวทอง
ระหว่างทางวัวทองได้ช่วยงูซวง สู้กับพญานาคได้ชัยชนะ ท้าวอุ่นหล้าและวัวทองไปอาศัยกับย่าจำสวน คือหญิงชราที่เฝ้าสวนกษัตริย์… ท้าวอุ่นหล้าเที่ยวพนันชนวัวและได้ข้าวห่อมาเลี้ยงชีวิต หลานเจ้าเมืองนำวัวมาท้าชน แต่แพ้ ทำให้เจ้าเมืองไม่พอใจ จึงท้าให้วัวทองไปสู้รบกับปลิงใหญ่ที่เจ้าเมืองเลี้ยงไว้… ท้าววัวทองและปลิงใหญ่ต่อสู้กันจนตาย
วัวทองได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ แต่คอยช่วยเหลือท้าวอุ่นหล้า ให้พ้นจากการจองเวรของเจ้าเมือง เช่น… เจ้าเมืองแกล้งให้ท้าวอุ่นหล้าถางป่าดงกว้างให้เสร็จภายในหนึ่งวัน เทพบุตรวัวทองก็ลงมาช่วย ต่อมาเจ้าเมืองให้ท้าวอุ่นหล้าสร้างเจดีย์ สะพานเงิน สะพานทองกลางน้ำ เทพบุตรก็ลงมาช่วย… เมื่อเสร็จแล้วเจ้าเมืองไปยืนบนสะพาน สะพานได้หักลง เจ้าเมืองจมน้ำสิ้นชีวิต ประชาชนจึงเชิญท้าวอุ่นหล้าเป็นเจ้าเมืองแทน เมื่อได้เป็นพระยาครองเมืองแล้ว…ท้าวอุ่นหล้าก็ไม่ลืมคุณบิดา จึงขอร้องให้เทวดาและพญาครุฑไปรับพ่อมาอยู่ด้วย

ที่มา : http://bkkseek.com

ลูกเนรคุณ


มี”ยายแก่”คนหนึ่งอยู่กินกับลูกชายและลูกสะใภ้..แก่มากแล้วทำอะไรก็ไม่ค่อยได้…ลูกสะใภ้จึงไม่ชอบเที่ยวด่าว่าแม่ยายอย่างนั้นอย่างนี้…ในตอนที่รับประทานข้าวก็จะเอาน้ำที่อยู่ในบ่อใส่น้ำแกง ทำให้น้ำแกงจืดรับประทานไม่ได้ บางครั้งแกงเผ็ดจนเกินไป…แต่ตอนที่ทำให้สามีรับประทานก็จะทำอาหารดีๆ
นิทานพื้นบ้านภาคใต้ เรื่องลูกเนรคุณ
พอถึงเวลาลูกชายกลับมาบ้าน…แม่ก็บอกลูกชายว่าสะใภ้ทำแกงรับประทานไม่ได้…บางครั้งเผ็ด บางครั้งเค็ม บางครั้งจืด …ข้างฝ่ายลูกเห็นว่าแม่พูดเรื่อยๆ ก็หาว่าแม่แก่ปากเปียก เพราะแกงที่เมียทำไว้ให้สามีนั้นอร่อยดี…ลูกชายก็โกรธจึงชวนกันสองคนสามีภรรยา เอาแม่ห่อเสื่อไว้ว่าจะพาไปเผาในป่าช้า
พอถึงป่าช้าก็ลืมไม้ขีดไฟและก็ใกล้ค่ำแล้วด้วย…ฝ่ายสามีก็ใช้ภรรยาไปเอาไม้ขีดที่บ้าน ภรรยาก็ไม่กล้าไป สามีจะมาเอาเองภรรยาก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว…ก็เลยชวนกันกลับบ้านทั้งสองคน ปล่อยให้แม่อยู่ในป่าช้า… ฝ่ายแม่เมื่อลูกกลับไปบ้านแล้วก็คลานออกจากเสื่อไปในป่า…พอดีในป่านั้นก็มีโจรไปปล้นบ้านเขามา และนั่งแบ่งเงินกันอยู่…แต่ยายแก่ไม่รู้เรื่องว่าโจรปล้นเงินมา…พอคลานไปถึงก็พูดขึ้นว่า “ไอ้คนเนรคุณ”…โจรได้ยินก็ตกใจหนีหมด ทิ้งเงินไว้มากมาย…ยายแก่ก็เก็บเงินนั้นแล้วก็พาไปบ้าน
ฝ่ายลูกเห็นแม่พาเงินมามากก็พูดว่า”เราทิ้งแม่ไว้ในป่าช้า แม่ได้เงินมากมายแต่แม่ก็ไม่ให้ใช้” ฝ่ายแม่ได้ยินก็บอกว่า”เงินนั้นแม่ให้ทั้งหมด…แต่ให้เอาเงินนั้นไปซื้อแม่มาให้คนหนึ่ง…ซื้อแม่ของใครก็ได้ที่เขาขาย” ลูกชายก็พาเงินนั้นเดินไปทั่วทุกเมืองก็หาซื้อแม่ไม่ได้ก็เลยต้องกลับบ้าน… แต่พอมาถึงบ้านแม่ก็บอกให้ลองไปหาซื้อเมียดูบ้าง…พอให้ไปหาซื้อเมียปรากฎว่าซื้อได้ นี่แหละเขาว่าซื้ออื่นซื้อได้แต่ซื้อแม่ซื้อไม่ได้
ฝ่ายเมียเมื่อเห็นว่าตนเองและสามีพาแม่ไปปล่อยในป่าช้าได้เงินมามากมาย ก็ใช้สามีพาตนเองไปเผามั่ง…สามีก็เอาเสื่อม้วนพาไปในป่าช้าและก็จุดไฟเผาภรรยา ภรรยาก็ถูกไฟคลอกตาย

นิทานรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
สอนให้ลูกรู้จักบุญคุณของพ่อแม่…และชี้ให้เห็นถึงผลการเนรคุณพ่อแม่



ที่มา : http://bkkseek.com


วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

กล้วยสองปลี


ที่มานิทานเรื่องกล้วยสองปลี เป็นนิทานพื้นบ้าน นายเคล้า เลื่อนกฐิน ชาวตำบลกลาย หมู่ 10 อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นผู้เล่าเรื่องนิทานกล้วยสองปลี มีเนื้อเรื่องดังนี้…
นิทานพื้นบ้านภาคใต้ เรื่องกล้วยสองปลี
นานมาแล้วมีไชชายยาจก…ไปชอบรักลูกสาวเศรษฐี จึงอยากได้มาเป็นคู่ครองของตน คิดว่าถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไชชายยาจกจึงออกเดินทางไปสืบหาหมอเสน่ห์ เดินทางไปหนึ่งวันเต็มๆ…พบกระท่อมหลังหนึ่ง จึงได้เข้าไปขอน้ำดื่มจากหญิงชราเจ้าของกระท่อม ยายแก่ได้ถามไชชายว่าเดินทางไปไหนมา
ไชชายจึงเล่าความประสงค์ของ ตนให้ฟังโดยไม่ปิดบังแต่อย่างใด ยายแกได้บอกว่าตนนี่แหละเป็นหมอเสน่ห์และช่วยไชชายได้ หากว่าไชชายสามารถหากล้วยสองปลีมาให้เป็นเครื่องยาในการทำเสน่ห์ ไชชายดีใจมากที่ยายแก่รับปากจะช่วยเหลือ รีบออกเดินทางไปเสาะหากล้วยสองปลีเป็นเวลานานหลายเดือนก็ยังไม่พบ ไชชายจึงได้เริ่มปลูกกล้วยเสียเองจำนวนมากหลายชนิด และดูแลไร่กล้วยเป็นอย่างดี ใส่ปุ๋ยเอาใจใจใส่ดูแลต้นกล้วยเป็นพิเศษ เพื่อให้ต้นกล้วยออกสองปลีให้ได้
ไชชายทำไร่กล้วยอยู่นาน…ก็ยังไม่ได้กล้วยสองปลีแต่อย่างใด แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม ได้ปลูกกล้วยเพิ่มขึ้นอีกขยายไร่กล้วยออกไปกว้างขวางขึ้นมากกว่าเดิมเรื่อยๆ เพิ่มที่จะค้นหากล้วยสองปลีให้ได้…ปีแล้วปีเล่าที่ทำไร่กล้วยได้นำผลผลิตจากไร่ไปขายอยู่เป็นเวลานานถึง 7 ปี…มีเงินทองเก็บไว้จากการขายกล้วยเป็นจำนวนมาก…จนมีฐานะเป็นเศรษฐีในเวลาต่อมา
เมื่อมีฐานะร่ำรวยก็ไปสู่ขอลูกสาว…เศรษฐีคนที่ไชชายหมายปองไว้ จนได้แต่งเป็นสามีภรรยาสมความปรารถนา…แต่ต้นกล้วยทั้งหมดที่ไชชายปลูกไว้ก็ไม่เคยออกสองปลีเลย ทำให้ไชชายคิดว่า”กล้วยสองปลีที่ยายแก่บอกให้หามาทำยาเสน่ห์นั้น คงไม่มีในโลกนี้แน่นอน แต่การที่ยายแก่สั่งให้หากล้วยสองปลีให้ได้ คงเป็นอุบายเพื่อยุให้ไชชายมีความมานะ จนสามารถเป็นเศรษฐีได้ในเวลาต่อมา

นิทานรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
1. ความมานะพยายาม จะทำให้พบความสำเร็จตามที่ปรารถนาได้ทุกเรื่อง
2. หากคนใดมีความขยันหมั่นเพียรในการประกอบกิจการงาน ก็สามารถจะหาเงินทางเป็นเศรษฐีมั่งมีได้


ที่มา : http://bkkseek.com

หัวล้านนอกครู


  ทิดทอง และ ทิดถม เป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองได้บวชเรียน ร่ำเรียนตำรับตำรามาด้วยกัน ถึงแม้ว่าฐานะของทั้งสองต่างกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์กันเลย เมื่อทั้งสึกออกมา ก็ช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง อยู่มาวันหนึ่ง มีพ่อค้าเร่มาขายน้ำมันใส่ผมในหมู่บ้าน ทิดทองกับทิดถมซึ่งไม่รู้เรื่องอะไร จึงได้ซื้อน้ำมันใส่ผมมาใช้คนละขวด ต่อมาไม่นานผมของทั้งสองก็ร่วงเรื่อยๆทุกวัน นานวันเข้าทั้งสองก็กลายเป็นคนหัวล้าน
นิทานพื้นบ้านภาคกลาง _หัวล้านนอกครู
ทั้งสองรู้สึกเป็นกังวลกินก็ไม่ได้นอนก็ไม่หลับ และรู้สึกอับอายจนไม่อยากจะออกไปไหนเลย เมื่อชาวบ้านรู้เรื่องข่าวก็ทำทีมาแกล้ง โดยแนะนำกับทั้งสองว่าถ้าเอาไอ้โน้น ไอ้นี่มาทา ผมก็จะงอกมาดังเดิม เช่น บอกให้เอา หนวดเต่า เขากระต่าย น้ำลายยุง หรือแม้กระทั่งขี้ไก่ มาทา ทั้งสองก็หลงเชื่อ กลายเป็นที่ขำขันของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ทั้งสองอับอายเป็นอันมาก จึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากโยคีที่อยู่กลางป่า ด้วยความสงสารโยคีจึงให้การช่วยเหลือ โดยให้ทั้งสองไปดำน้ำในสระน้ำข้างอาศรม 3 ครั้ง ผมก็จะงอกออกมาทั่วทั้งหัวเหมือนดังเดิม
ทั้งสองไม่รอช้า รีบทำตามคำแนะนำของท่านโยคี เมื่อลงดำครั้งแรกแล้วโผล่หัวขึ้นมาปรากฏว่าผมงอกขึ้นมานิดหน่อย ครั้งที่ 2 ผมงอกมาพอประมาณและครั้งที่ 3 ผมของทั้งสองงอกเต็มหัวเป็นปกติ แต่เนื่องจากทั้งสองมีแผลเป็นกลางหัวตั้งแต่เด็กๆ ผมจึงขึ้นตรงแผลเป็นไม่ได้…แทนที่จะไปปรึกษากับโยคี…ทิดทองและทิดถมได้ปรึกษากันเองว่าหากดำครั้งที่ 4 ผมจะต้องงอกตรงที่เป็นแผลเป็นแน่นอน…ทั้งสองจึงตัดสินใจดำน้ำลงไปอีกครั้ง…แต่ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…เมื่อทั้งสองโผล่หัวขึ้นมากลับกลายเป็นคนหัวล้านเช่นเดิม…คราวนี้แม้แต่โยคีเองก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว…ทั้งสองเสียใจร้องไห้โวยวาย แล้วเดินก้มหน้ากลับหมู่บ้านด้วยความผิดหวัง…เป็นที่มาของสำนวนไทยที่ว่า ” หัวล้านนอกครู ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. อย่าเพิ่มเติมหรือนอกคำสั่ง ผลลัพธ์จะตกแก่ตัวเอง…และอย่าเชื่อคนง่ายจะเสียใจภายหลัง เช่นการซื้อน้ำมันมาใส่ผมบ้าง เอาขี้ไก่มาทาบ้างเป็นคนที่เชื่อแบบไม่มีเหตุผล
2. สำนวนสุภาษิต ”หัวล้านนอกครู” หมายถึง…ผู้ที่ปฏิบัติผิดแผกไปจากคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์หรือแบบแผนที่นิยมกันมา…หรือไม่ปฎิบัติตามคำแนะนำของครูอาจารย์จนทำให้เกิดความเดือดร้อน


ที่มา : http://bkkseek.com

ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่


 “นิทาน ” เป็นเรื่องที่เล่ากันมาจากบรรพบุรุษเพื่อใช้อบรมสั่งสอนบุตรหลาน หรือเพื่อความบันเทิงเริงใจเนื่องจากในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีเช่นในปัจจุบันเนื้อเรื่องที่เล่าอาจเป็นเรื่องที่เกิดจากประสบการณ์หรือจินตนาการของผู้เล่าเอง มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องที่แต่งขึ้นโดยประเด็นสำคัญก็คือ จุดมุ่งหมายในการให้คติสอนใจส่งเสริมการประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรมข้อต่างๆ เช่น นิทานเรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ที่ให้คติสอนใจเรื่องของการมีสติและความกตัญญูต่อบิดามารดา และความโกรธจนขาดสติที่นำพาสู่หายนะอันใหญ่หลวง
ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่1
โดยใจความสำคัญอย่างย่อของนิทานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ที่ถูกเล่าสืบต่อกันมามีดังนี้ หนุ่มชาวนาชื่อทอง (บางแห่งก็ไม่กล่าวถึงชื่อ) ทองออกไปทำนาตั้งแต่เช้าจนสาย แต่แม่ก็ยังไม่มาส่งข้าวสักที ทองหิวข้าวจนตาลายด้วยอารมณ์ชั่ววูบทำให้เขากระทำการมาตุฆาตมารดา ด้วยสาเหตุเพียงแค่ว่า ก่องข้าวที่แม่เอามาส่งนั้นดูเหมือนจะน้อยไป ไม่น่าจะพอกิน แต่เมื่อทองกินข้าวอิ่มแล้ว ข้าวยังไม่หมดทองจึงได้สติสำนึกผิดที่ฆ่าแม่ตนเอง จึงสร้างธาตุก่องข้าวน้อยขึ้นมา เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลขออโหสิกรรมและล้างบาปที่ตนกระทำ
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วที่บ้านตาดทอง ยโสธรในฤดูฝนมีการเตรียมปักดำข้าว ทุกครอบครัวจะออกไปไถนาเตรียมการเพาะปลูก ครอบครัวของชายหนุ่มคนหนึ่งกำพร้าพ่อ ไม่ปรากฏชื่อหลักฐาน ก็ออกไปปฏิบัติภารกิจเช่นเดียวกัน
วันหนึ่งเขาไถนาอยู่จนสาย ตะวันสูงขึ้นแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากกว่าปกติ และหิวข้าวมากกว่าทุกวัน ปกติแล้วแม่ผู้ชราจะมาส่งข้าวกล่องให้ทุกวัน แต่วันนี้กลับมาช้าผิดปกติ เขาจึงหยุดไถนาเข้าพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ ปล่อยเจ้าทุยไปกินหญ้า สายตาเหม่อมองไปทางบ้าน รอคอยแม่ที่จะมาส่งข้าวตามเวลาที่ควรจะมา ด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งสายตะวันขึ้นสูงแดดยิ่งร้อน ความหิวกระหายก็ยิ่งทวีคูณขึ้น
ทันใดนั้นเขามองเห็นแม่เดินเลียบตามคันนาพร้อมกล่องข้าวน้อยๆ ห้อยต่องแต่งอยู่บนเสาแหรกคาน เขารู้สึกไม่พอใจที่แม่เอากล่องข้าวน้อยนั้นมาช้ามาก ด้วยความหิวกระหายจนตาลายอารมณ์พลุ่งพล่าน เขาคิดว่าข้าวในกล่องน้อยนั้นคงกินไม่อิ่มแน่ จึงเอ่ยต่อว่าแม่ของตนว่า “อีแก่ ไปทำอะไรอยู่จึงมาส่งข้าวให้กูช้านัก ก่องข้าวก็เอามาแต่ก่องน้อยๆ กูจะกินอิ่มหรือ“ผู้เป็นแม่เอ่ยปากตอบลูกว่า “ถึงก่องข้าวจะน้อยก็น้อยต้อนแต้นแน่นในดอกลูกเอ๋ย…ลองกินเบิ่งก่อน
ความหิว ความเหน็ดเหนื่อย ความโมโห หูอื้อตาลาย ไม่ยอมฟังเสียงใดๆ เกิดความโมโหหิว คว้าไม้แอกน้อยเข้าตีแม่ที่แก่ชราจนล้มลง แล้วก็เดินไปกินข้าว กินข้าวจนอิ่มแล้ว แต่ข้าวยังไม่หมดกล่อง จึงรู้สึกผิดชอบชั่วดี รีบวิ่งไปดูอาการแม่ และเข้าสวมกอดแม่…อนิจจา แม่สิ้นใจไปเสียแล้ว!!
ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่3
ชายหนุ่มร้องไห้โฮ สำนึกผิดที่ฆ่าแม่ของตนเองด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ ไม่รู้จะทำประการใดดี จึงเข้ากราบ นมัสการสมภารวัดเล่าเรื่องให้ท่านฟังโดยละเอียด สมภารสอนว่า “การฆ่าบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าของตนเองนั้นเป็นบาปหนัก เป็นมาตุฆาต ต้องตกนรกอเวจีตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นคนอีก มีทางเดียวจะให้บาปเบาลงได้ก็ด้วยการสร้างธาตุก่อกวมกระดูกแม่ไว้ ให้สูงเท่านกเขาเหิน จะได้เป็นการไถ่บาปหนักให้เป็นเบาลงได้
เมื่อชายหนุ่มปลงศพแม่แล้ว ขอร้องชักชวนญาติมิตรชาวบ้านมาช่วยกันปั้นอิฐก่อนเจดีย์บรรจุอัฐิแม่ไว้ จึงให้ชื่อว่า “ธาตุก่องข้างน้อยฆ่าแม่” ตราบจนทุกวันนี้
ทุกวันนี้ได้มีผู้มากราบธาตุก่องข้าวน้อยฯทุกวัน… เพื่อขอขมาลาโทษเหมือนเป็นการไถ่บาปที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ… บางคนเมื่อมีลูกแล้วถึงรู้ว่าบุญคุณแม่มากสุดเหลือคณานับ… เพิ่งรู้ว่าเลี้ยงดูลูกนั้นยากหนักหนาขนาดไหน… จึงมาสำนึกที่ทำให้แม่ต้องเสียใจ…บ้างก็มากราบไหว้เพื่อรำลึกถึงบุญคุณแม่

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. ความโกรธความโมโหทำให้จิตใจใฝ่ต่ำ… ประพฤติปฎิบัติไปในทางไม่ดี… สามารถที่จะทำความผิดอย่างมหันต์ได้
2. การมีความเมตตากรุณา การที่มีความกตัญญูกตเวที… ก็จะเป็นพลังหนุนนำทำให้บุคคลนั้นมีความสุขความเจริญแก่ตนเองต่อไป



ที่มา : http://bkkseek.com