วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ปู่ปันแน


นิทานล้านนาเรื่องปู่ปันแน เป็นนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ที่มีเนื้อหาสนุกเพลิดเพลินและขบขัน พร้อมทั้งให้แง่คิดและคติสอนใจในการใช้ชีวิตไว้อีกด้วย
ในรัชสมัยที่นครพิงค์ยังมีเจ้าผู้ครองนครอยู่ทุกๆ สามปี… เจ้าผู้ครองนครจะต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองไปเป็นบรรณาการทางกรุงเทพฯเป็นประจำ… กาลครั้งนั้นอำนาจในการปกครองดูแลบังคับปัญชาประชาชนพลเมืองเป็นของเจ้าผู้ครองนครแต่ผู้เดียว… จึงเรียกท่านว่าพ่อเจ้าชีวิต… เมื่อใครกระทำผิด เช่นลักพริก ลักมะเขือและผัก หากถูกจับได้จะถูกประหารชีวิตทันทีพ่อเจ้าท่านว่ามันเป็นคนเกียจคร้าน มีนิสัยเป็นผู้ร้ายจริง ๆ เขาปลูกเขาฝังทำไมไม่ปลูกฝังอย่างเขาบ้าง… กรณีลักช้าง ม้า วัว ควาย หากถูกจับได้ท่านให้ปล่อยมันไป เพราะมันอยากใคร่ได้อยากใคร่มี
นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องปู่ปันแน
ในคุ้มหลวงอันเป็นที่ประทับของพ่อเจ้าชีวิต จะมีข้าราชบริพาร นางสนมกำนัล และเขนคือตำรวจหลวงเฝ้ารักษาอยู่ นอกจากนั้นยังมีศิลปินผู้มีชื่อในทางเป่าปี่อีกคนหนึ่ง ซึ่งคนทั่วๆไปเรียกกันว่า ‘’ปู่ปันแน”… ในกระบวนเป่าปี่ด้วยกันแล้วทั่วทั้งนครพิงค์หาตัวจับแกไม่ได้ ไม่ว่าเพลงนั้นจะยากและยาวเท่าไร หากปู่ปันได้เป่าแล้ว แกจะเป่าได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง เสียงปี่จะแจ้วเจื้อยติดต่อกันไม่ขาดเสียง เพราะแกสามารถระบายลมได้ เคยมีการแข่งขันเป่าปี่กันหลายครั้ง ปรากฏว่าปู่ปันชนะทุกๆคราว
ด้วยเหตุนี้ พ่อเจ้าชีวิตจึงโปรดเกล้าฯให้ปู่ปันเป็นข้าราชสำนัก เนื่องจากการเป็นศิลปินเอกทำให้ปู่ปันชอบทำอะไรตามใจชอบ พอว่างงานก็ดื่มสุรายิ่งดื่มก็ยิ่งเพลิน เวลาเมาแกจะเอะอะชกต่อยทะเลาะวิวาทกับชาวบ้าน ชาวบ้านเกรงกลัวอำนาจพ่อเจ้าจึงไม่อยากเอาเรื่อง… การที่ปู่ปันปฏิบัติเช่นนี้บ่อยๆ ก็เลยเป็นนิสัย ดังนั้นเวลาปู่ปันเมาครั้งไรมักจะก่อเรื่องก่อราวขึ้นเสมอ… ชาวบ้านบางคนทนไม่ได้ก็นำความกราบทูลกล่าวโทษต่อพ่อเจ้าชีวิต… พ่อเจ้าลงโทษตักเตือนว่ากล่าวหลายครั้งหลายหน ครั้นจะลงโทษรุนแรงลงไปก็สงสาร… การที่พ่อเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ยิ่งทำให้ปู่ปันได้ใจและผยองตัว… คิดว่าตนนั้นเป็นบุคคลสำคัญแม้แต่พ่อเจ้าก็ไม่กล้าลงโทษหนัก
จนกระทั่งวันหนึ่ง… ปู่ปันเมาเหล้าเอะอะอาละวาดบริเวณบ้านหนองคำท้าทายชาวบ้าน… ชาวบ้านพอเห็นปู่ปันเมาต่างพากันหลบเข้าบ้านเสีย ปิดประตูเงียบ… ปู่ปันเห็นชาวบ้านเข้าบ้านรู้สึกไม่พอใจ จึงเดินเปะปะไปจนกระทั่งพบกองอิฐข้างถนน ปู่ปันดีใจตรงเข้าหากองอิฐนั้น… คว้าเอาก้อนอิฐมาขว้างไปยังหลังคาบ้านบริเวณใกล้เคียง… ทำให้บ้านเรือนชาวบ้านเสียหายมากมาย… เมื่อปู่ปันขว้างจนพอใจก็กลับคุ้มหลวงเหมือนไม่มีเหตุอะไร
ครั้นรุ่งเช้า… ชาวบ้านได้รับความเสียหาย นำเอาความนี้ไปร้องเรียนต่อพ่อเจ้าชีวิต… พ่อเจ้าชีวิตออกไปตรวจเหตุการณ์ที่เกิดเหตุทันที และเห็นว่าปู่ปันทำครั้งนี้เป็นความผิดอันใหญ่… จึงสั่งให้นำเอาตัวปู่ปันไปจองจำไว้ในคุก… พอดีขณะนั้นทางแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ช่วยกันจับกะเหรี่ยงผู้หนึ่งชื่อว่า “พะสะกอ” ในข้อหาว่าปล้นทรัพย์และฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย พ่อเจ้าชีวิตสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิต… การที่จะนำเอาใครไปประหารชีวิตจะต้องนำเอาผู้นั้นตระเวนรอบๆเมืองครบสามวันก่อน และป่าวประกาศมิให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง… ผู้ถูกประหารจะถูกจองจำครบ 5 ประการ คือ เท้าใส่ตรวน เท้าติดขื่อไม้ โซ่ล่ามคอ คาใส่คอทับโซ่ และมือทั้งสองสอดเข้าไปในคาไปตอดไปติดกับขื่อที่ทำด้วยไม้เขนนำพะสะกอแห่ไปรอบเมือง
… จนกระทั่งวันที่สามอันเป็นวันสุดท้าย… ขบวนนำนักโทษประหารผ่านคุ้มหลวงอันเป็นที่ประทับของพ่อเจ้าชีวิต… พ่อเจ้าชีวิตเห็นผู้คนมากมายรู้สึกสงสัย จึงถามข้าราชบริพารว่า ‘’ชาวเมืองเขาดูอะไรกันนั่น‘’ ข้าราชบริพารกราบทูลว่า ”เขานำตัวกะเหรี่ยงชื่อ พะสะกอ ไปประหารชีวิตพะย่ะค่ะ‘’… เจ้าหลวงระลึกถึงปู่ปันแนได้ว่า มันประพฤติผิดโทษร้ายแรงสมควรที่จะลงโทษไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างต่อ ไป พ่อเจ้าจึงบอกให้เขนว่า ‘‘เอ่อ บอกเปิ้นรอกำ ขอฝากปู่ปันแนไปคนเต๊อะ” (เออ บอกให้เขารอประเดี๋ยว ขอฝากตาปันไปคน)
ขบวนประหารได้นำผู้ต้องโทษทั้งสองไปประหารยังตำบลท่าวังตาล… เมื่อประหารเสร็จแล้วก็นำความมากราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ… เรื่องราวของปู่ปันแนศิลปินเป่าปี่ก็อวสานลงด้วยอาญาของพ่อเจ้าชีวิต… แม้ว่าพระองค์จะเสียดายสักเท่าไรก็ตาม… แต่เมื่อผิดกฎหมายแล้วก็ต้องปฏิบัติไปอย่างเที่ยงธรรม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. อันสันดานคนพาลนั้น… เมื่อรู้ว่ามีคนคอยปกป้องแล้วย่อมได้ใจ และจะพาลหนักขึ้น… การเป็นใหญ่จะต้องปฏิบัติอะไรให้เสมอหน้ากัน… อย่าเลือกปฏิบัติให้เสียความเป็นธรรม
2. ‘’ ได้ดีแล้วอย่าลืมตัว…เหมือนกิ้งก่าได้ทอง ”


ที่มา : http://bkkseek.com

ชะตามะกอกแห้ง


นิทานล้านนาเรื่องชะตามะกอกแห้ง
มีสองคนผัวเมียติดตามกันมาหลายชาติ…ผัวไม่ชอบทำบุญให้ทานเอาแต่ดื่มเหล้าเมาสุรา เล่นไพ่ เล่นลูกเต๋า และเล่นไก่ชน…ส่วนเมียเป็นคนชอบทำบุญให้ทานใฝ่ใจในทางกุศลทุกชาติ…อยู่มาชาติหนึ่ง เมียนึ่งข้าวไว้แล้วแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้กินกันสองคนผัวเมีย…อีกส่วนหนึ่งเอาไว้ตักบาตร และตั้งปรารถนาไว้ว่า”หากตายไปชาติใดขอให้ได้พ้นจากผัวคนนี้ อย่าได้พบกันอีกเลย”… ฝ่ายผัวได้ยินก็ตั้งปรารถนาว่า”จะเกิดชาติใดก็ขอให้ได้พบเมียตนทุกชาติ”
อีกหลายชาติต่อมา…ด้วยผลบุญที่ทำไว้มาก…เมียก็ไปเกิดเป็นลูกพญาเจ้าเมืองซึ่งเป็นคนใจบุญได้สร้างหอทำบุญไว้ตรงประตูเมือง มีคนมาขอทานทุกวัน และมีบัญชีจดไว้ว่าวันหนึ่งๆ มีผู้หญิงกี่คนชายกี่คน…ในชาตินั้นผัวก็ได้เกิดมาเป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่ใส่เสื้อขาดหน้าปะหลังมาขอทาน…ด้วยเป็นบุพเพสันนิวาสในชาติก่อน แต่ละชาติก็ไม่ละทิ้งกัน…หญิงคนนั้นพอเห็นก็สงสารและมีความเอ็นดูว่าชายคนนี้มีรูปงามจริง ไฉนจึงยากจนนัก เห็นจะเป็นเพราะชาติก่อนไม่ได้ทำบุญให้ทานเสียกระมัง จึงอยากจะให้ทานเสื้อผ้าแก่ชายคนนั้น
วันหนึ่งนางก็ไปถามเสมียนว่า ”วันนี้มีคนมาขอทานกี่คน” เสมียนบอกว่า ‘’วันนี้มีคนมาขอทานเก้าสิบแปดคน” นางจะให้ทานเสื้อก็ไปสั่งเสื้อมาเก้าสิบแปดผืน รุ่งขึ้นก็ให้เข้ามาขอทานแล้วก็บอกว่า ‘’พวกผู้ชายรับห่อข้าวแล้วให้ไปเข้าแถวทางด้านตะวันออกเป็นหัวแถว ทางด้านตะวันตกเป็นหางแถว ให้นั่งเรียงกันดีๆ” พอดีวันนั้นมีขอทานมาเพิ่มอีกคนหนึ่งเป็นเก้าสิบเก้าคน แต่ผ้ามีเก้าสิบแปดผืน นางบอกคนใช้ให้แจกทางหัวแถวไปทางทิศตะวันตก พอแจกไปก็ขาดตรงที่ผัวนาง… พอรุ่งขึ้นทุกคนก็ใส่เสื้อใหม่มากันหมด…ผัวนางก็ยังใส่เสื้อเก่า…หญิงคนที่เป็นเมียก็ให้ห่อข้าวแล้วถามว่า ‘’ เป็นยังไงถึงไม่ใส่เสื้อใหม่มาเพื่อนคนอื่น ๆ เขาใส่เสื้อใหม่กันทุกคน ‘’ ‘’ ข้าไม่ได้รับ เพราะข้าไปนั่งสุดท้ายแถว ” ‘’ ขาดไปกี่คนขาดเฉพาะข้าคนเดียวนี่แหละ‘’ ‘’พรุ่งนี้จะให้ทานกางเกงนะ‘’
นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ชะตามะกอกแห้ง
นางก็ถามเสมียนว่า ‘’วันนี้ขอทานมากี่คน‘’ เก้าสิบเก้าคน ‘’เอากางเกงมาเก้าสิบเก้าตัวนะ” ตอนนี้กลับมีคนเพิ่มอีกคนรวมเป็นหนึ่งร้อยคน ตอนนี้นางก็บอกว่า “ทางทิศตะวันออกเป็นหัวแถว ทางทิศตะวันตกเป็นท้ายแถว”…เพราะว่าวันก่อนผัวนางไปนั่งอยู่ท้ายสุดและไม่ได้เสื้อ…ตอนนี้มีคนมาเพิ่มอีกคนเป็นหนึ่งร้อยคน กางเกงมีเก้าสิบเก้าตัว นางก็บอกว่าให้แจกทางซ้ายขึ้นมาก่อน เพราะว่าเมื่อวานนี้ขาดไปทางท้ายแถว…พอแจกทางท้ายก็ขาดทางหัวแถว ในที่สุดผัวนางก็ยังต้องใส่เสื้อตัวเก่านุ่งกางเกงตัวเก่าตามเคย…รุ่งขึ้นนางก็ถามว่า ‘’พี่ชายทำไมยังใส่เสื้อเก่าอยู่ล่ะ ก็เมื่อวานนี้ยังไม่ได้รับแจกหรือ” “ไม่ได้” ‘’ไปนั่งทางไหนล่ะ” ‘’ ไปนั่งท้ายแถวโน่น ‘’ …” ไม่ได้กี่คน ‘’ ไม่ได้ข้าคนเดียว ‘’ นางก็สอบถามเสมียนดูก็ปรากฏว่ามีคนมาเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยคนจริงๆ จึงได้ขาดไปหนึ่งคน
…รุ่งขึ้นนางก็อยากจะให้ทานเสื้อผ้าแก่ผัวของนางคนเดียวเพราะนางรักอยู่คนเดียว ครั้นจะให้ทานอยู่คนเดียวก็เกรงว่าจะเป็นการลำเอียง นางก็สั่งมาอีกร้อยชุดทั้งเสื้อและกางเกง คิดหาทางจะให้ผัวนางได้รับให้ได้ แต่ในวันนี้ก็กลับมีคนมาจากไหนก็ไม่รู้มาเพิ่มอีกคนหนึ่งเป็นร้อยหนึ่งคน นางให้เข้าแถวทางทิศตะวันออกเป็นหัวแถว ทางตะวันตกเป็นหางแถว ชายคนนั้นก็วิ่งขึ้นวิ่งลง จะไปนั่งทางท้ายแถวก็กลัวจะไม่ได้จะไปนั่งทางหัวแถวก็กลัวจะไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดีคิดไปคิดมา ก็นับตั้งแต่หัวแถวมาถึงคนที่ห้าสิบแล้วก็ไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลาง นางสั่งคนแจกว่า แจกทางด้านตะวันออกมาห้าสิบแล้วแจกทางตะวันตกมาอีกหาสิบ ฝ่ายผัวซึ่งไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลาง นางสั่งคนแจกว่า แจกทางด้านตะวันออกมาห้าสิบแล้วแจกทางตะวันตกมาอีกห้าสิบ ฝ่ายผัวซึ่งไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลางก็เลยไม่ได้ รุ่งขึ้นก็ใส่เสื้อเก่ากางเกงเก่ามาอีกปุๆ ปะๆ ขาดๆ มาหาเมีย นางก็ถามว่า ‘’ทำไมไม่ใส่เสื้อใหม่มาล่ะ‘’ ใคร ๆ เขาก็ใส่ใหม่กันทุกคนไปนั่งอยู่ตรงไหนอีกล่ะ‘’ ‘’ข้าไม่ได้นั่งตรงไหน ข้าไปแทรกอยู่ตรงกลาง‘’ ‘’โองั้นขาดไปอีกกี่คน” “ก็ขาดข้าคนเดียวนี่แหละ” ไปถามเสมียนดูก็ได้ความว่ามีคนมาเพิ่มจำนวนอีกเป็นร้อยเอ็ดคน ‘’
จะทำยังไงดีน้า จะช่วยมันอย่างไรดีไม่ให้ขาดตรงมันจะทำยังไงดี พอถึงกลางคืนนางก็มานอนคิด ได้ความว่าเอาทองหนักสิบบาทมาใส่ในข้าวห่อแล้วทำเครื่องหมายไว้ รุ่งขึ้นพอมันมาก็จะยกข้าวห่อให้มันแต่พอมันได้ข้าวห่อแล้วก็เอาไปแลกเหล้าเขากินเสีย รุ่งขึ้นก็ยังขอทานอีก นางก็ถามว่า ‘’ พี่ชายเอาข้าวห่อไปไม่ได้กินหรืออย่างไร ‘’ …” ไม่ได้กินหรอก ‘’ พี่ชายเอาไปไหนเสียล่ะ ” เอาไปแลกเหล้ากินเสียแล้ว ” ‘’ โอ พี่ชายคนนี้มันเป็นอย่างไรของมันหนอ ไม่มีบุญ ไม่มีกุศล ไม่ได้สั่งสม ไม่ได้ทำทาน ไม่ได้บริจาคไว้กระมัง มันถึงไม่ได้รับของทานสักครั้ง ‘’
นางเองนอนคิดทั้งคืนก็ยิ่งทำให้เป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม…เอาทองหนักอีกยี่สอบบาทใส่ในข้าวกล่องให้อีก รุ่งขึ้นก็ยกข้าวห่อที่ใส่ทองไว้หนักยี่สิบบาทไปให้ ‘‘พี่ชาย วันนี้อย่าเอาไปแลกเหล้าอีกนะ แล้วก็อย่าเอาไปขายด้วยขอให้เอาไปกินจริง ๆ นะ” เมื่อลูกสาวพญาเจ้าเมืองสั่งเช่นนั้นก็มีความยินดีนัก จะเอาไปกินตรงไหนก็ไม่เหมาะใจ มีต้นนกยูงต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาลงไปทางแม่น้ำปิงโน่น…ในขณะนั้นน้ำกำลังท่วม ชายคนนั้นก็ไต่กิ่งไม้ขึ้นไปแก้ห่อข้าวกินอยู่บนกิ่งไม้นั้นเพื่อให้สมเกียรติแก่นางผู้ให้ แก้ห่อข้าวอย่างระมัดระวัง ทองมันหนักถึงยี่สิบบาทแก้ไปแก้มา ห่อข้าวก็ตะลุมปุ๋มป๋ำไปในน้ำโน่นจนได้…ไม่ได้กินข้าวแม้คำเดียว…รุ่งขึ้นก็ไปขอทานอีก ” พี่ชายทำไมยังมาขอทานอยู่อีกล่ะไม่ได้กินข้าวอีกหรือ ” ‘’ กินก็ไม่ได้กินแม่น้อง ” ‘’พี่ชายไปกินตรงไหนล่ะ ” ‘’ กินบนต้นไม้ริมแม่น้ำโน่นอะไรก็ไม่รู้อยู่ในห่อข้าวแม่น้องเลยตกลงไปในน้ำเสียแล้ว 
เธอคิดในใจว่านายคนนี้ต้องไม่ได้ทำบุญกุศลอะไรไว้แน่…ยิ่งมีความสงสารมากขึ้น ‘’ พี่ชายกินข้าวเช้าแล้วให้เข้าไปบ้านนะ ” เมื่อเข้าไปถึงบ้านแล้ว นางถามว่า ‘’ พี่ชายทำอะไรได้บ้าง มีวิชาความรู้อะไรบ้าง ” ‘’ ยิงด้ามไม้เป็น ยิงกบเก่ง ‘’ ดังนั้นนางจึงเอาปืนให้กระบอกหนึ่ง ‘’ พี่ชายปืนนี้ถ้ายิงขึ้นฟ้าแล้วตกลงมาแผ่นดินลึกสักหนึ่งวา กว้างหนึ่งวา ก็จะเอาทองเอาเงินใส่ให้เท่าที่น้ำหนักดินชั่งได้ ถ้าตกโดนอะไรในราคาเท่าไร ก็จะใช้ให้เท่าราคานั้น ชายคนนั้นก็ยินดีว่าตนจะได้เงินได้ทองตอนหนนี้กระมัง…อออกไปกลางทุ่งนา มีกรรมการไปด้วย 3 คน ‘’ เอ้า…ได้เวลาแล้วเตรียมยิงปืนขึ้นบนอากาศได้ 1 – 2 – 3 เป็ง ” เสียงปืนดังหวิว ๆ ตกใส่ลูกมะกอกแห้ง ชั่งหนัก ๒ สลึง…นายคนนั้นก็ได้ทอง ๒ สลึง…อย่างนี้เขาเรียกว่า “ชะตามะกอกแห้ง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
1. คนโบราณเชื่อว่า”คนชะตาไม่ดีทำอะไรย่อมไม่สมหวัง”…
2. แต่ทางพระพุทธศาสนาสอนให้ “ใช้ปัญญาและขันติธรรม… จึงจะพบความสำเร็จ
2. คติ ‘สอนให้คนประพฤติดี ละความชั่ว ”


ที่มา : http://bkkseek.com

ท้าววัวทอง (อุ่นหล้าวัวทอง)

 ท้าววัวทอง (อุ่นหล้าวัวทอง) อักษรธรรม 8 ผูก วัดเวฬุวัน ต.กุดยางลวด อ.ตระการพืชผล จ. อุบลราชธานี
พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นวัวตัวใหญ่ เรียกว่า “วัวทอง” เป็นสัตว์เลี้ยงของนายพรานป่า ผู้ที่เลี้ยงวัวทองคือ” ท้าวอุ่นหล้า” ลูกชายของนายพรานป่า… ต่อมานายพรานป่าได้นางผีปอบมาเป็นภรรยาคนที่สอง นางผีปอบจับแม่ของท้าวอุ่นหล้ากินเสีย วัวทองจึงพาอุ่นหล้าหนีไปอยู่ที่อื่น
ท้าววัวทอง
ระหว่างทางวัวทองได้ช่วยงูซวง สู้กับพญานาคได้ชัยชนะ ท้าวอุ่นหล้าและวัวทองไปอาศัยกับย่าจำสวน คือหญิงชราที่เฝ้าสวนกษัตริย์… ท้าวอุ่นหล้าเที่ยวพนันชนวัวและได้ข้าวห่อมาเลี้ยงชีวิต หลานเจ้าเมืองนำวัวมาท้าชน แต่แพ้ ทำให้เจ้าเมืองไม่พอใจ จึงท้าให้วัวทองไปสู้รบกับปลิงใหญ่ที่เจ้าเมืองเลี้ยงไว้… ท้าววัวทองและปลิงใหญ่ต่อสู้กันจนตาย
วัวทองได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ แต่คอยช่วยเหลือท้าวอุ่นหล้า ให้พ้นจากการจองเวรของเจ้าเมือง เช่น… เจ้าเมืองแกล้งให้ท้าวอุ่นหล้าถางป่าดงกว้างให้เสร็จภายในหนึ่งวัน เทพบุตรวัวทองก็ลงมาช่วย ต่อมาเจ้าเมืองให้ท้าวอุ่นหล้าสร้างเจดีย์ สะพานเงิน สะพานทองกลางน้ำ เทพบุตรก็ลงมาช่วย… เมื่อเสร็จแล้วเจ้าเมืองไปยืนบนสะพาน สะพานได้หักลง เจ้าเมืองจมน้ำสิ้นชีวิต ประชาชนจึงเชิญท้าวอุ่นหล้าเป็นเจ้าเมืองแทน เมื่อได้เป็นพระยาครองเมืองแล้ว…ท้าวอุ่นหล้าก็ไม่ลืมคุณบิดา จึงขอร้องให้เทวดาและพญาครุฑไปรับพ่อมาอยู่ด้วย

ที่มา : http://bkkseek.com

ลูกเนรคุณ


มี”ยายแก่”คนหนึ่งอยู่กินกับลูกชายและลูกสะใภ้..แก่มากแล้วทำอะไรก็ไม่ค่อยได้…ลูกสะใภ้จึงไม่ชอบเที่ยวด่าว่าแม่ยายอย่างนั้นอย่างนี้…ในตอนที่รับประทานข้าวก็จะเอาน้ำที่อยู่ในบ่อใส่น้ำแกง ทำให้น้ำแกงจืดรับประทานไม่ได้ บางครั้งแกงเผ็ดจนเกินไป…แต่ตอนที่ทำให้สามีรับประทานก็จะทำอาหารดีๆ
นิทานพื้นบ้านภาคใต้ เรื่องลูกเนรคุณ
พอถึงเวลาลูกชายกลับมาบ้าน…แม่ก็บอกลูกชายว่าสะใภ้ทำแกงรับประทานไม่ได้…บางครั้งเผ็ด บางครั้งเค็ม บางครั้งจืด …ข้างฝ่ายลูกเห็นว่าแม่พูดเรื่อยๆ ก็หาว่าแม่แก่ปากเปียก เพราะแกงที่เมียทำไว้ให้สามีนั้นอร่อยดี…ลูกชายก็โกรธจึงชวนกันสองคนสามีภรรยา เอาแม่ห่อเสื่อไว้ว่าจะพาไปเผาในป่าช้า
พอถึงป่าช้าก็ลืมไม้ขีดไฟและก็ใกล้ค่ำแล้วด้วย…ฝ่ายสามีก็ใช้ภรรยาไปเอาไม้ขีดที่บ้าน ภรรยาก็ไม่กล้าไป สามีจะมาเอาเองภรรยาก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว…ก็เลยชวนกันกลับบ้านทั้งสองคน ปล่อยให้แม่อยู่ในป่าช้า… ฝ่ายแม่เมื่อลูกกลับไปบ้านแล้วก็คลานออกจากเสื่อไปในป่า…พอดีในป่านั้นก็มีโจรไปปล้นบ้านเขามา และนั่งแบ่งเงินกันอยู่…แต่ยายแก่ไม่รู้เรื่องว่าโจรปล้นเงินมา…พอคลานไปถึงก็พูดขึ้นว่า “ไอ้คนเนรคุณ”…โจรได้ยินก็ตกใจหนีหมด ทิ้งเงินไว้มากมาย…ยายแก่ก็เก็บเงินนั้นแล้วก็พาไปบ้าน
ฝ่ายลูกเห็นแม่พาเงินมามากก็พูดว่า”เราทิ้งแม่ไว้ในป่าช้า แม่ได้เงินมากมายแต่แม่ก็ไม่ให้ใช้” ฝ่ายแม่ได้ยินก็บอกว่า”เงินนั้นแม่ให้ทั้งหมด…แต่ให้เอาเงินนั้นไปซื้อแม่มาให้คนหนึ่ง…ซื้อแม่ของใครก็ได้ที่เขาขาย” ลูกชายก็พาเงินนั้นเดินไปทั่วทุกเมืองก็หาซื้อแม่ไม่ได้ก็เลยต้องกลับบ้าน… แต่พอมาถึงบ้านแม่ก็บอกให้ลองไปหาซื้อเมียดูบ้าง…พอให้ไปหาซื้อเมียปรากฎว่าซื้อได้ นี่แหละเขาว่าซื้ออื่นซื้อได้แต่ซื้อแม่ซื้อไม่ได้
ฝ่ายเมียเมื่อเห็นว่าตนเองและสามีพาแม่ไปปล่อยในป่าช้าได้เงินมามากมาย ก็ใช้สามีพาตนเองไปเผามั่ง…สามีก็เอาเสื่อม้วนพาไปในป่าช้าและก็จุดไฟเผาภรรยา ภรรยาก็ถูกไฟคลอกตาย

นิทานรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
สอนให้ลูกรู้จักบุญคุณของพ่อแม่…และชี้ให้เห็นถึงผลการเนรคุณพ่อแม่



ที่มา : http://bkkseek.com


วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

กล้วยสองปลี


ที่มานิทานเรื่องกล้วยสองปลี เป็นนิทานพื้นบ้าน นายเคล้า เลื่อนกฐิน ชาวตำบลกลาย หมู่ 10 อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นผู้เล่าเรื่องนิทานกล้วยสองปลี มีเนื้อเรื่องดังนี้…
นิทานพื้นบ้านภาคใต้ เรื่องกล้วยสองปลี
นานมาแล้วมีไชชายยาจก…ไปชอบรักลูกสาวเศรษฐี จึงอยากได้มาเป็นคู่ครองของตน คิดว่าถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไชชายยาจกจึงออกเดินทางไปสืบหาหมอเสน่ห์ เดินทางไปหนึ่งวันเต็มๆ…พบกระท่อมหลังหนึ่ง จึงได้เข้าไปขอน้ำดื่มจากหญิงชราเจ้าของกระท่อม ยายแก่ได้ถามไชชายว่าเดินทางไปไหนมา
ไชชายจึงเล่าความประสงค์ของ ตนให้ฟังโดยไม่ปิดบังแต่อย่างใด ยายแกได้บอกว่าตนนี่แหละเป็นหมอเสน่ห์และช่วยไชชายได้ หากว่าไชชายสามารถหากล้วยสองปลีมาให้เป็นเครื่องยาในการทำเสน่ห์ ไชชายดีใจมากที่ยายแก่รับปากจะช่วยเหลือ รีบออกเดินทางไปเสาะหากล้วยสองปลีเป็นเวลานานหลายเดือนก็ยังไม่พบ ไชชายจึงได้เริ่มปลูกกล้วยเสียเองจำนวนมากหลายชนิด และดูแลไร่กล้วยเป็นอย่างดี ใส่ปุ๋ยเอาใจใจใส่ดูแลต้นกล้วยเป็นพิเศษ เพื่อให้ต้นกล้วยออกสองปลีให้ได้
ไชชายทำไร่กล้วยอยู่นาน…ก็ยังไม่ได้กล้วยสองปลีแต่อย่างใด แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม ได้ปลูกกล้วยเพิ่มขึ้นอีกขยายไร่กล้วยออกไปกว้างขวางขึ้นมากกว่าเดิมเรื่อยๆ เพิ่มที่จะค้นหากล้วยสองปลีให้ได้…ปีแล้วปีเล่าที่ทำไร่กล้วยได้นำผลผลิตจากไร่ไปขายอยู่เป็นเวลานานถึง 7 ปี…มีเงินทองเก็บไว้จากการขายกล้วยเป็นจำนวนมาก…จนมีฐานะเป็นเศรษฐีในเวลาต่อมา
เมื่อมีฐานะร่ำรวยก็ไปสู่ขอลูกสาว…เศรษฐีคนที่ไชชายหมายปองไว้ จนได้แต่งเป็นสามีภรรยาสมความปรารถนา…แต่ต้นกล้วยทั้งหมดที่ไชชายปลูกไว้ก็ไม่เคยออกสองปลีเลย ทำให้ไชชายคิดว่า”กล้วยสองปลีที่ยายแก่บอกให้หามาทำยาเสน่ห์นั้น คงไม่มีในโลกนี้แน่นอน แต่การที่ยายแก่สั่งให้หากล้วยสองปลีให้ได้ คงเป็นอุบายเพื่อยุให้ไชชายมีความมานะ จนสามารถเป็นเศรษฐีได้ในเวลาต่อมา

นิทานรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
1. ความมานะพยายาม จะทำให้พบความสำเร็จตามที่ปรารถนาได้ทุกเรื่อง
2. หากคนใดมีความขยันหมั่นเพียรในการประกอบกิจการงาน ก็สามารถจะหาเงินทางเป็นเศรษฐีมั่งมีได้


ที่มา : http://bkkseek.com

หัวล้านนอกครู


  ทิดทอง และ ทิดถม เป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองได้บวชเรียน ร่ำเรียนตำรับตำรามาด้วยกัน ถึงแม้ว่าฐานะของทั้งสองต่างกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์กันเลย เมื่อทั้งสึกออกมา ก็ช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง อยู่มาวันหนึ่ง มีพ่อค้าเร่มาขายน้ำมันใส่ผมในหมู่บ้าน ทิดทองกับทิดถมซึ่งไม่รู้เรื่องอะไร จึงได้ซื้อน้ำมันใส่ผมมาใช้คนละขวด ต่อมาไม่นานผมของทั้งสองก็ร่วงเรื่อยๆทุกวัน นานวันเข้าทั้งสองก็กลายเป็นคนหัวล้าน
นิทานพื้นบ้านภาคกลาง _หัวล้านนอกครู
ทั้งสองรู้สึกเป็นกังวลกินก็ไม่ได้นอนก็ไม่หลับ และรู้สึกอับอายจนไม่อยากจะออกไปไหนเลย เมื่อชาวบ้านรู้เรื่องข่าวก็ทำทีมาแกล้ง โดยแนะนำกับทั้งสองว่าถ้าเอาไอ้โน้น ไอ้นี่มาทา ผมก็จะงอกมาดังเดิม เช่น บอกให้เอา หนวดเต่า เขากระต่าย น้ำลายยุง หรือแม้กระทั่งขี้ไก่ มาทา ทั้งสองก็หลงเชื่อ กลายเป็นที่ขำขันของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ทั้งสองอับอายเป็นอันมาก จึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากโยคีที่อยู่กลางป่า ด้วยความสงสารโยคีจึงให้การช่วยเหลือ โดยให้ทั้งสองไปดำน้ำในสระน้ำข้างอาศรม 3 ครั้ง ผมก็จะงอกออกมาทั่วทั้งหัวเหมือนดังเดิม
ทั้งสองไม่รอช้า รีบทำตามคำแนะนำของท่านโยคี เมื่อลงดำครั้งแรกแล้วโผล่หัวขึ้นมาปรากฏว่าผมงอกขึ้นมานิดหน่อย ครั้งที่ 2 ผมงอกมาพอประมาณและครั้งที่ 3 ผมของทั้งสองงอกเต็มหัวเป็นปกติ แต่เนื่องจากทั้งสองมีแผลเป็นกลางหัวตั้งแต่เด็กๆ ผมจึงขึ้นตรงแผลเป็นไม่ได้…แทนที่จะไปปรึกษากับโยคี…ทิดทองและทิดถมได้ปรึกษากันเองว่าหากดำครั้งที่ 4 ผมจะต้องงอกตรงที่เป็นแผลเป็นแน่นอน…ทั้งสองจึงตัดสินใจดำน้ำลงไปอีกครั้ง…แต่ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…เมื่อทั้งสองโผล่หัวขึ้นมากลับกลายเป็นคนหัวล้านเช่นเดิม…คราวนี้แม้แต่โยคีเองก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว…ทั้งสองเสียใจร้องไห้โวยวาย แล้วเดินก้มหน้ากลับหมู่บ้านด้วยความผิดหวัง…เป็นที่มาของสำนวนไทยที่ว่า ” หัวล้านนอกครู ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. อย่าเพิ่มเติมหรือนอกคำสั่ง ผลลัพธ์จะตกแก่ตัวเอง…และอย่าเชื่อคนง่ายจะเสียใจภายหลัง เช่นการซื้อน้ำมันมาใส่ผมบ้าง เอาขี้ไก่มาทาบ้างเป็นคนที่เชื่อแบบไม่มีเหตุผล
2. สำนวนสุภาษิต ”หัวล้านนอกครู” หมายถึง…ผู้ที่ปฏิบัติผิดแผกไปจากคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์หรือแบบแผนที่นิยมกันมา…หรือไม่ปฎิบัติตามคำแนะนำของครูอาจารย์จนทำให้เกิดความเดือดร้อน


ที่มา : http://bkkseek.com

ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่


 “นิทาน ” เป็นเรื่องที่เล่ากันมาจากบรรพบุรุษเพื่อใช้อบรมสั่งสอนบุตรหลาน หรือเพื่อความบันเทิงเริงใจเนื่องจากในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีเช่นในปัจจุบันเนื้อเรื่องที่เล่าอาจเป็นเรื่องที่เกิดจากประสบการณ์หรือจินตนาการของผู้เล่าเอง มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องที่แต่งขึ้นโดยประเด็นสำคัญก็คือ จุดมุ่งหมายในการให้คติสอนใจส่งเสริมการประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรมข้อต่างๆ เช่น นิทานเรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ที่ให้คติสอนใจเรื่องของการมีสติและความกตัญญูต่อบิดามารดา และความโกรธจนขาดสติที่นำพาสู่หายนะอันใหญ่หลวง
ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่1
โดยใจความสำคัญอย่างย่อของนิทานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ที่ถูกเล่าสืบต่อกันมามีดังนี้ หนุ่มชาวนาชื่อทอง (บางแห่งก็ไม่กล่าวถึงชื่อ) ทองออกไปทำนาตั้งแต่เช้าจนสาย แต่แม่ก็ยังไม่มาส่งข้าวสักที ทองหิวข้าวจนตาลายด้วยอารมณ์ชั่ววูบทำให้เขากระทำการมาตุฆาตมารดา ด้วยสาเหตุเพียงแค่ว่า ก่องข้าวที่แม่เอามาส่งนั้นดูเหมือนจะน้อยไป ไม่น่าจะพอกิน แต่เมื่อทองกินข้าวอิ่มแล้ว ข้าวยังไม่หมดทองจึงได้สติสำนึกผิดที่ฆ่าแม่ตนเอง จึงสร้างธาตุก่องข้าวน้อยขึ้นมา เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลขออโหสิกรรมและล้างบาปที่ตนกระทำ
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วที่บ้านตาดทอง ยโสธรในฤดูฝนมีการเตรียมปักดำข้าว ทุกครอบครัวจะออกไปไถนาเตรียมการเพาะปลูก ครอบครัวของชายหนุ่มคนหนึ่งกำพร้าพ่อ ไม่ปรากฏชื่อหลักฐาน ก็ออกไปปฏิบัติภารกิจเช่นเดียวกัน
วันหนึ่งเขาไถนาอยู่จนสาย ตะวันสูงขึ้นแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากกว่าปกติ และหิวข้าวมากกว่าทุกวัน ปกติแล้วแม่ผู้ชราจะมาส่งข้าวกล่องให้ทุกวัน แต่วันนี้กลับมาช้าผิดปกติ เขาจึงหยุดไถนาเข้าพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ ปล่อยเจ้าทุยไปกินหญ้า สายตาเหม่อมองไปทางบ้าน รอคอยแม่ที่จะมาส่งข้าวตามเวลาที่ควรจะมา ด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งสายตะวันขึ้นสูงแดดยิ่งร้อน ความหิวกระหายก็ยิ่งทวีคูณขึ้น
ทันใดนั้นเขามองเห็นแม่เดินเลียบตามคันนาพร้อมกล่องข้าวน้อยๆ ห้อยต่องแต่งอยู่บนเสาแหรกคาน เขารู้สึกไม่พอใจที่แม่เอากล่องข้าวน้อยนั้นมาช้ามาก ด้วยความหิวกระหายจนตาลายอารมณ์พลุ่งพล่าน เขาคิดว่าข้าวในกล่องน้อยนั้นคงกินไม่อิ่มแน่ จึงเอ่ยต่อว่าแม่ของตนว่า “อีแก่ ไปทำอะไรอยู่จึงมาส่งข้าวให้กูช้านัก ก่องข้าวก็เอามาแต่ก่องน้อยๆ กูจะกินอิ่มหรือ“ผู้เป็นแม่เอ่ยปากตอบลูกว่า “ถึงก่องข้าวจะน้อยก็น้อยต้อนแต้นแน่นในดอกลูกเอ๋ย…ลองกินเบิ่งก่อน
ความหิว ความเหน็ดเหนื่อย ความโมโห หูอื้อตาลาย ไม่ยอมฟังเสียงใดๆ เกิดความโมโหหิว คว้าไม้แอกน้อยเข้าตีแม่ที่แก่ชราจนล้มลง แล้วก็เดินไปกินข้าว กินข้าวจนอิ่มแล้ว แต่ข้าวยังไม่หมดกล่อง จึงรู้สึกผิดชอบชั่วดี รีบวิ่งไปดูอาการแม่ และเข้าสวมกอดแม่…อนิจจา แม่สิ้นใจไปเสียแล้ว!!
ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่3
ชายหนุ่มร้องไห้โฮ สำนึกผิดที่ฆ่าแม่ของตนเองด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ ไม่รู้จะทำประการใดดี จึงเข้ากราบ นมัสการสมภารวัดเล่าเรื่องให้ท่านฟังโดยละเอียด สมภารสอนว่า “การฆ่าบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าของตนเองนั้นเป็นบาปหนัก เป็นมาตุฆาต ต้องตกนรกอเวจีตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นคนอีก มีทางเดียวจะให้บาปเบาลงได้ก็ด้วยการสร้างธาตุก่อกวมกระดูกแม่ไว้ ให้สูงเท่านกเขาเหิน จะได้เป็นการไถ่บาปหนักให้เป็นเบาลงได้
เมื่อชายหนุ่มปลงศพแม่แล้ว ขอร้องชักชวนญาติมิตรชาวบ้านมาช่วยกันปั้นอิฐก่อนเจดีย์บรรจุอัฐิแม่ไว้ จึงให้ชื่อว่า “ธาตุก่องข้างน้อยฆ่าแม่” ตราบจนทุกวันนี้
ทุกวันนี้ได้มีผู้มากราบธาตุก่องข้าวน้อยฯทุกวัน… เพื่อขอขมาลาโทษเหมือนเป็นการไถ่บาปที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ… บางคนเมื่อมีลูกแล้วถึงรู้ว่าบุญคุณแม่มากสุดเหลือคณานับ… เพิ่งรู้ว่าเลี้ยงดูลูกนั้นยากหนักหนาขนาดไหน… จึงมาสำนึกที่ทำให้แม่ต้องเสียใจ…บ้างก็มากราบไหว้เพื่อรำลึกถึงบุญคุณแม่

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. ความโกรธความโมโหทำให้จิตใจใฝ่ต่ำ… ประพฤติปฎิบัติไปในทางไม่ดี… สามารถที่จะทำความผิดอย่างมหันต์ได้
2. การมีความเมตตากรุณา การที่มีความกตัญญูกตเวที… ก็จะเป็นพลังหนุนนำทำให้บุคคลนั้นมีความสุขความเจริญแก่ตนเองต่อไป



ที่มา : http://bkkseek.com

เรื่องคนคดดีหรือคนซื่อดี


 มีชายสามคนซึ่งเป็นเพื่อนกัน… อยู่มาวันหนึ่งก็ได้ชวนกันไปเที่ยวหมู่บ้านอื่น พอไปได้ครึ่งทางเก็บเงินได้ ชายอีกสองคนนั้นคิดไม่ซื่อกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง โดยการออกเสียงว่าคนคดกับคนซื่ออย่างไหนจะดีกว่า เพื่อนอีกคนบอกว่าคนซื่อดีกว่า แต่อีกสองคนที่ได้วางแผนกันไว้ก็ว่าคนคดดีกว่า… สรุปแล้วสองคนนี้จึงชนะ เลยไม่แบ่งเงินให้เพื่อนคนที่บอกว่าคนซื่อดีกว่า
TWO BOYS ONE LAUGHING-ILLUSTRATION
ในระหว่างการเดินทางก็ได้เข้าพักหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง คนที่ถูกรังแกฝันว่าเห็นเทพองค์นาง และเทพบอกกับเขาว่าในเมืองนี้มีพระธิดาทรงป่วย ไม่มีใครรักษาได้ ให้เจ้าเอาฟืน 3 มัด ไปเผาก้อนหินก้อนใหญ่ๆที่อยู่ใกล้ๆเมือง พอก้อนหินไหม้ก็จะกลายเป็นแม่น้ำ ชาวบ้านก็ได้ทำนาอาการของพระธิดาก็จะหายจากการป่วย
พอรุ่งขึ้นมาเขาได้ทำตามที่เทพบอกและทุกอย่างก็เป็นจริง พระราชาทรงพระราชทานรางวัลให้ชายคนนี้ พอเพื่อนอีกสองคนเห็นก็มาหา แล้วถามว่าเจ้าทำอย่างไรถึงได้ดีขนาดนี้ ชายคนนี้ก็บอกว่า “ข้าเป็นคนซื่อข้าก็ได้ดี เจ้าสองคนละเป็นอย่างไรบ้าง ไหนว่าคนคดดีกว่าไม่ใช่หรือทำไมถึงมีสภาพอย่างนี้” และเขาก็หัวเราะดังๆออกมาอย่างมีความสุข

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
ซื่อกินไม่หมด…คดกินไม่นาน



ที่มา : http://bkkseek.com

หมาป่ากับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์


นานมาแล้ว มีหมาป่าผอมโซตัวหนึ่ง… ไปบนบานกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขอเป็นวัวบ้านตัวอ้วนพี เมื่อกลายร่างเป็นวัวถูกชาวบ้านใช้ไถนา เกิดความเหนื่อยเมื่อยล้า
นิทานพื้นบ้านภาคใต้ หมาป่ากับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
จึงไปบนบานกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ว่าขอเป็นม้า แต่กลับถูกพระราชาผู้ครองนครสั่งให้ทหารจับตัวไปเป็นพาหนะ เกิดความเบื่อหน่ายอีก
จึงไปบนบานกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ว่าขอเป็นพระราชาเสียเอง เมื่อได้เป็นพระราชาสมใจแล้ว เขายังมีความต้องการเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ จึงสั่งทหารให้ไปตัดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อเรือ …ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์โกรธมากที่ทำคุณไม่ขึ้น จึงบอกให้ทหารไปตามพระราชามาตัดเอง
เมื่อพระราชามาถึง…ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวตำหนิในความไม่รู้จักพอ และสาปให้กลายร่างกลับเป็นหมาป่าผอมโซเช่นเดิม

นิทานรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
เป็นนิทานที่ผู้เฒ่าผู้แก่ในตำบลกะรุบี อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี นิยมเล่าไว้เพื่อเป็นคติสอนใจที่สอนในเรื่อง “ความโลภไม่รู้จักพอของมนุษย์ และในที่สุดก็ไม่ได้อะไรเลย”…ตรงกับสำนวนไทยของเราว่า “โลภนัก…มักลาภหาย


ที่มา : http://bkkseek.com

ท้าวปลาหลด


 มีตายายคู่หนึ่งซึ่งยากจนอันไม่มีจะกิน เช้าวันหนึ่งสองตายายได้ออกไปหาปลาบางวันก็หาปลาไม่ได้เลยซักตัว รุ่งเช้าตายายไปหาไปหาอีกจนถึงเย็นก็ไม่ได้ปลาซักตัว พอกลับบ้านได้เจอกับปลาหลดจึงเก็บมาเลี้ยงพอเลี้ยงไปได้หนึ่งสัปดาห์ปลาหลดก็เติบใหญ่ อีกสามวันปลาหลดจึงตายลง…ตายายจึงเสียใจมากจึงเอากระดูกปลาหลดเก็บไว้เพื่อทำคราดนา พอไปคราดข้าวในนา ข้าวในนาจึงงอกงาม… ทำให้ตายายร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีในหมู่บ้านนั้น
นิทานพื้นบ้านภาคกลาง เรื่องท้าวปลาหลด
และหลายปีต่อมากระดูกปลาหลดก็ยังเหลืออยู่จึงเอามาทำเป็นหวี เมื่อนำไปหวีผมตายาย ผมตายายจึงได้ดำสวยงาม เหมือนกับเป็นหนุ่มสาว… มีเศรษฐีคู่หนึ่งอยู่คนละหมู่บ้านกันเกิดคิดอิจฉาตายายคู่นั้น เศรษฐีให้พวกบ่าวไพร่ไปขโมยคราดและหวี
…รุ่งเช้าเศรษฐีจึงหวีผมด้วยหวีปลาหลด พออีกวันหนึ่งผมของเศรษฐีจึงร่วงหมดหัว เศรษฐีคู่นั้นเจ็บใจเรื่องหวีจึงนำคราดที่ขโมยตายายมา มาคราดนาของตัวเองบ้าง ข้าวในนาจึงเฉาตายหมด จึงจนเพราะความอิจฉาจึงทำให้เศรษฐีคู่นั้นจนมาก… ปีต่อมาเศรษฐีคู่นั้นจึงสำนึกผิดจึงนำคราดและหวีมาคืนตายาย…ตายายจึงไม่ติดใจเอาความเศรษฐีคู่นั้น


ที่มา : http://bkkseek.com

ชายหนุ่มกับดวงดาว




นิทานพร้อมภาพประกอบ_ชายหนุ่มกับดวงดาว
นานมาแล้วมีชายหนุ่มผู้หนึ่งชอบดูดาวบนท้องฟ้าเป็นชีวิตจิตใจ
ทุกคืนเขาจะเดินแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ระยิบระยับไปด้วยดวงดาว
ระหว่างนั้นเขาก็เฝ้าขบคิดว่า ดวงดาวเกิดมาจากอะไรและขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างไร
เขาแต่เหม่อมอง โดยไม่สนใจว่ากำลังจะเดินไปทางไหน
นิทานสั้นๆ_ชายหนุ่มกับดวงดาว
เพื่อน ๆ ของเขาต่างขบขันที่เห็นอาการเช่นนั้นของเขา
“นี่ ฉันคิดว่าแกน่าจะไปดูดาวที่หอดูดาวที่ไหนสักแห่ง…
ดีกว่าจะมาเดินเหม่อลอยแบบนี้นะ”
เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยเตือนเขา
“นั่นน่ะซิ เดี่ยวก็เดินตกหลุมตกร่องเข้าสักวันหนึ่งหรอก” เพื่อนอีกคนเสริม
ชายหนุ่มไม่สนใจต่อคำเตือนนั้น และยังคงเดินแหงนดูดาวเช่นนั้นต่อไป
นิทานสอนใจ_ชายหนุ่มกับดวงดาว
และแล้วในคืนหนึ่ง เขาก็ก้าวตกลงไปในหลุมแห่งหนึ่งเข้าจนได้
หลุมนั้นลึกมาก จนเขาไม่สามารถปีนขึ้นไปได้
ชายหนุ่มจึงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น
นิทานสำหรับเด็ก_ชายหนุ่มกับดวงดาว
โชคดีที่เพื่อน ๆ ของเขาเดินผ่านมาได้ยินเสียงเข้า
จึงร้องถามลงไปว่า “นั่นใครน่ะ?”
“ฉันเอง นักดูดาวไงล่ะ!” ชายหนุ่มตอบด้วยความดีใจ
เพื่อน ๆ ของเขาพากันหัวเราะร่า “ฉันว่าแล้วไง เจอดีเข้าจนได้ไหมล่ะ”
นับตั้งแต่ได้รับความช่วยเหลือให้ขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มก็เลิกเดินเหม่อเช่นนั้นอีกต่อไป
นิทานนานาชาติ_ชายหนุ่มกับดวงดาว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“คนฉลาดย่อมไม่มองข้ามคำวิจารณ์…คำตักเตือนของผู้อื่น”


ที่มา : http://bkkseek.com

เมขลา รามสูร


 ณ สวรรค์ชั้นฟ้าอันเป็นที่สถิตของเหล่าเทพยาดาและบรรดานางฟ้าทั้งหลาย ครั้นถึงวสันตฤดูเหล่าทวยเทพต่างร่วมกันจัดงานนักขัตฤกษ์มีการละเล่นเป็นที่สนุกสนานครื้นเครง ในครั้งนั้นนางฟ้าองค์หนึ่งนามว่า เมขลา สถิตอยู่ ณ วิมานรัตนะ มีหน้าที่คอยพิทักษ์รักษาสมุทรไท นางมีดวงแก้ววิเศษดวงหนึ่งซึ่งได้รับการประทานมาจากพระนารายณ์ทำให้มีอิทธิฤทธิ์ เมื่อเหาะไปแห่งหนใดเมขลาก็ถือดวงแก้ววิเศษนี้ติดตัวไปด้วยเสมอ
ขณะที่นางเมขลาเหาะออกจากวิมานเพื่อไปร่วมงานนักขัตฤกษ์ บังเอิญเจ้ายักษ์รามสูรได้เห็นแสงแวววาวของดวงแก้ววิเศษก็นึกอยากได้รีบเหาะติดตามหมายจะชิงมาเป็นของตน ส่วนนางเมขลาเห็นว่าจอมอสูรผู้นี้เป็นยักษ์ชั้นเลวที่เที่ยวเกะกะระรานไปทั่วทั้งแดนสวรรค์และใต้บาดาล เหล่าเทพเทวาทั้งหลายต่างเกลียดและกลัวไม่อยากจะตอแยด้วย เพราะเจ้ายักษ์รามสูรนี้มีขวานวิเศษอยู่ด้ามหนึ่งทำให้ไม่มีใครสู้ฤทธิ์ได้ นางเมขลาจึงคิดที่จะยั่วโทสะจอมมาร
นิทานพื้นบ้านภาคกลาง เมขลากับรามสูร๏ อสุราเห็นแก้วแววไว
ซึ่งนางเมขลาโยนเล่น ยิ่งเห็นยิ่งชอบอัชฌาสัย
ยิ่งพิศยิ่งติดต้องใจ จะใคร่ได้ดวงจินดา
หมายเขม้นเข่นเขี้ยวจะราญรอน กรกุมขวานเพชรเงื้อง่า
เผ่นโผนโจนไปในเมฆา ไล่นางเมขลาด้วยฤทธีฯ
……………. ……………..
เมื่อนั้น นวลนางเมขลามารศรี
เลี้ยวล่อรามสูรอสุรี กรโยนมณีจินดา
ทำทีประหนึ่งจะให้แก้ว กลอกแสงพราวแพรวบนหัตถา
ครั้นรามสูรไล่เลี้ยวมา กัลยารำล่ออสุรี
นางแกล้งเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน เวียนไปตามจักราศี
มือหนึ่งชูแก้วมณี ทำทีเยาะเย้ยอสุราฯ
( จากบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
นางเมขลาถือดวงแก้วล่อหลอกเหาะหนี ฝ่ายรามสูรก็ควงขวานเพชรไล่ติดตามอย่างไม่ลดละ พอได้ระยะจอมอสูรหมายจะขว้างขวานในมือใส่ พลันแสงประกายจากดวงแก้วก็ส่องสะท้อนแวมวับออกมา รามสูรตกใจขวานจึงพลาดเป้าแล่นแฉลบไปตามหมู่เมฆในท้องฟ้า บางครั้งก็ลงมาถึงพื้นดินเกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ขณะนั้น พระอรชุน ผู้เป็นใหญ่เหาะผ่านมาพอดี เจ้ายักษ์รามสูรกำลังโมโหจึงตวาดใส่พระอรชุนที่เหาะมาขวางหน้า ในที่สุดก็เกิดการรบกันด้วยฤทธิ์ รามสูรขว้างขวานโถมเข้าฟาดฟันใส่ทันที พระอรชุนจึงตอบโต้ด้วยพระขรรค์ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ต่างก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จนในที่สุดพระอรชุนก็พลาดถูกจอมอสูรจับขาฟาดกับเขาพระสุเมรุจนสิ้นชีพ และผลการรบในครั้งนั้นถึงกับทำให้เขาพระสุเมรุเอียงทรุด
ร้อนถึงเหล่าเทพยดาทั้งหลาย รวมทั้งบรรดาฤาษีชีไพร ครุฑ นาค คนธรรพ์ ต้องมาทำพิธีชะลอเขาพระสุเมรุให้กลับตั้งตรงดังเดิมโดยใช้พญานาคพันรอบเขาไว้แทนเชือกแล้วช่วยกันออกแรงดึง ซึ่งพระอินทร์ทำหน้าที่เป่าสังข์ให้อาณัติสัญญาณ
เหตุการณ์ในเรื่องนางเมขลารามสูรนี้ เป็นเกร็ดตอนหนึ่งจากรามเกียรติ์ ซึ่งก็คือตำนานที่มาปรากฏการณ์ธรรมชาติอันได้แก่ ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่านั่นเอง คนสมัยโบราณเชื่อกันว่าสายฟ้าคือประกายแสงจากขวานของรามสูร ซึ่งหากฟ้าผ่าลงมายังพื้นดินถูกต้นไม้ก็จะทำให้หักโค่นจนเกิดไฟลุกไหม้
บางตำรากล่าวว่าเมขลาเป็นนางฟ้าผู้เป็นนางบำเรอของพระอิศวร ซึ่งพระบิดาของนางเองเป็นผู้นำมาถวายพร้อมกับดวงแก้ว วันหนึ่งนางเมขลาได้ทูลถามต่อพระอิศวรว่าเพราะเหตุใดนางจึงต้องมีเวรเข้าเฝ้า จึงได้รับคำตอบว่านางนั้นเหนือกว่านางฟ้าทั่วไปเพราะเป็นรองพระอุมาและมีหน้าที่ดูแลดวงแก้ว อยู่มาวันหนึ่งนางเมขลาเกิดไม่พอใจในฐานะความเป็นอยู่ของตน จึงลักดวงแก้วของพระอิศวรแล้วเหาะไปเที่ยวเล่น เนื่องจากมีดวงแก้ววิเศษ เหล่าเทพเทวาทั้งหลายจึงไม่อาจจับตัวได้
กล่าวถึงเจ้ายักษ์รามสูรผู้เป็นสหายกับฝนและกินลมเป็นอาหาร อสูรผู้นี้มีขวานเพชรเป็นอาวุธและเป็นมิตรกับพระราหู วันหนึ่งรามสูรได้รับการไหว้วานจากพระราหูให้ช่วยไปชิงดวงแก้วและจับนางเมขลา เพื่อพระราหูจะได้นำไปถวายพระอิศวรอีกต่อหนึ่งเป็นการไถ่โทษในความผิดของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแปลงตัวเป็นเทวดาแอบไปกินน้ำอมฤตเมื่อคราวเหล่าเทพและอสูรช่วยกันกวนเกษียรสมุทร แต่ด้วยอำนาจแสงที่ส่องออกมาจากดวงแก้ว รามสูรจึงไม่สามารถขว้างขวานถูกนางได้แม้แต่ครั้งเดียว
… ดังนั้นเมื่อนางเมขลากับรามสูรพบกันเมื่อไหร่ ก็จะเกิดเหตุการณ์สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งแดนสวรรค์และโลกมนุษย์ตราบถึงทุกวันนี้…ไทยเราคิดเห็นไปว่าเมื่อเวลาฟ้าแลบฟ้าร้องนั้น ก็คือเวลาเมขลาล่อแก้วและรามสูรขว้างขวานนี่เอง แสงแก้วคือแสงฟ้าแลบ เสียงขวานคือฟ้าร้อง


ที่มา : http://bkkseek.com