วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

สองเครือน้ําตาหลั่ง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สองเครือน้ำตาหลั่ง

เมื่อนานมาแล้ว  มีสามีภรรยาอยู่คู่หนึ่งอยู่กินด้วยกันมีลูกกันถึงอยู่ 7 คน แต่จะว่า 7 คนนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะสามีนั้น มีเมียและมีลูกมาแล้ว 4 คน ภรรยาที่อยู่ด้วยกันคนปัจจุบัน มีลูกให้อีก 3 คน แต่เมียคนแรกตายไปแล้ว เป็นอันว่าลูกทั้งหมดเป็น 7 คน  ลูกทั้งหมดก็เป็นหญิงล้วน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปเรียนมหาลัยที่ต่างจังหวัด ทั้ง 7 ก็ได้ไล่เลี่ยกันไป ทองพันแม่ของลูกทั้ง 7 คนได้ไปส่งลูกที่สถานีรถไฟ หากแต่ทว่า บัวตองและหนึ่งฤทัย ได้แอบลอบลงไปจากรถไฟ แอบหนีไปหาแฟนที่กระท่อมปลายนาของหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับบ้านของตนที่อาศัยอยู่เดิม คู่ของหนึ่งฤทัยนั้นได้หนีไปอยู่ไต้หวัน ส่วนทางด้านคู่ของบัวตองได้ไปอยู่ที่นาร้าง จนกระทั่งมีลูก
ผัวของบัวตองชื่อ คำไผ่ วันหนึ่งคำไผ่ได้ออกจากกระท่อมปลายนาไปหาปลา ในตอนนั้นบัวตองท้องแก่ เจ็บจะคลอดลูกท้องอย่างแรง ยายขมิ้น ได้ผ่านมาหาหน่อไม้และพบเข้า จึงช่วยทำคลอดให้กับบัวตอง พอทำคลอดเสร็จแล้ว ยายขมิ้นก็นึกได้ว่าหน้าคุ้นๆ หลังจากนั้นไม่นานจึงนึกออกว่าเป็น บัวตอง ลูกนางทองพันนี่เอง จึงนำข่าวไปบอกแก่นางทองพันให้ทราบ ส่วนผัวของนางทองพันได้ยินเรื่องเข้าแกก็โกรธและรีบวิ่งแจ้นไปหาไอ้คำไผ่ พอเจอก็เกิดการต่อยตีกัน จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต นางทองพันก็ดุด่าว่ากล่าวลูก ว่าส่งให้ไปร่ำไปเรียนดันมาทำอัปรีย์เยี่ยงนี้ พูดไปด่าไปจากโมโห กลายเป็นร้องไห้ไปเสีย และไปหาพ่อกับแม่ของคำไผ่ ซึ่งมีฐานะเป็นถึง ขุนนางเก่า ให้มาสู่ขอนางบัวตองให้ถูกจารีตประเพณี แต่เศรษฐีหาได้สนใจไม่ พร้อมทั้งบอกว่ากับนางทองพันว่า ลูกของตนเองไม่มีทางทำอย่างนั้นเป็นอันขาด
นางทองพันไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะสามีก็ถูกจับ ข้อหาทำร้ายร่างกาย ตำรวจก็มีแต่จับอย่างเดียวเพื่อเอาแต่ผลงาน นางทองพันเลย จับนางบัวตองบวชชี ส่วนหลานนั้น นางจะเป็นคนดูแลเอง เวลาผ่านไปได้ 1 อาทิตย์ บัวตองก็ได้แอบหนีออกจากวัด ไปหาคำไผ่อีก เมื่อนางทองพันรู้เข้าก็ได้แต่ด่าและจับล่ามโซ่ไว้ที่บ้าน ส่วนคำไผ่นั้นก็ได้แต่คิดหาวิธีที่จะพานางบัวตองเมียของตนหนี จนสามารถทำได้สำเร็จ ปล่อยให้นางทองพันเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว นางทองพันได้แต่กล่อมหลานไกวเปลเห่ร้องอย่างเดียวดาย ส่วนสามีนั้นพอออกมาจากคุกมาก็ได้กลับมาช่วยดูแลอย่างแต่เดิม แต่ไม่มีปัญหาอะไรเพราะลูก ทั้ง 5 ยังเหลืออยู่ เอ๊ะ หรือว่า ลูกทั้ง 5 นั้น จะทำประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
- บุญคุณพ่อแม่นี้หนักเกิ่ง ธรณี ผู้ได้ยอเยินยก สิรุ่งเรื่องไปหน้า ผู้ได้วาจาต้านสองเครือน้ำตาหลั่ง บาปท่อฟ้าเวรกรรมท่อแผ่นดิน

ที่มา : http://www.nithan.in.th/

คนเเจวเรือจ้างกับนักศึกษา



มีนักศึกษาผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง   ได้ทำการว่าจ้างเรือแจวให้พาข้ามฟาก
ในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม   และลมเริ่มพัดจนน้ำเกิด
เป็นระลอกคลื่นเล็กๆ
เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ   จนเมื่อเรือได้เข้าสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกราด   คนแจวเรือจึงต้องใช้ความ
อย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก   ส่วนฝ่ายนักศึกษานั้นกำลังนั่งก้มหน้าหนังสือเล่มใหญ่อยู่   จนในที่สุดนักศึกษาก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจากตำราแล้วมองไปยังคนแจวเรือ
“ลุงๆเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์บ้างไหม?”   นักศึกษาเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เคยเลยครับ”   คนแจวเรือจ้างตอบด้วยนำ้เสียงที่แผ่วเบา
“ถ้างั้นลุงก็พลาดโอกาสเสียแล้วหละ   ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง   เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่าน
มีเรื่องของกษัตริย์และราชินีในสมัยอดีต   รวมถึงเรื่องของสงคราม  การต่อสู้   ทำให้เราสามารถรู้ว่าคนในสมัยโบราณ
ใช้ชีวิตกันแบบไหน  แต่งกายกันอย่างไร   ประวัติศาสตร์จะบอกให้ได้รู้ถึงความเจริญและความเสื่อมลงของชนชาติต่างๆ
ทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?”
“ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ”   คนแจวเรือตอบ
คนแจวเรือก็ยังคงแจวเรือต่อไป ส่วนนักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง  นักศึกษาก็เอ่ยถามคนแจวเรือขึ้นอีก   ”ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?”
“ไม่เคยเลยครับ”
“ภูมิศาสตร์   เป็นวิชาที่สอนให้เราได้รู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ   และยังรวมถึงกระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝน  นะลุง
วิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก   ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?”
“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือตอบ
นักศึกษาส่ายหน้า
“ถ้าไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงก็เหมือนไม่มีค่าอะไรเลย”
“วิทยาศาสตร์ละลุง   เคยอ่านบ้างรึเปล่า”
“ไม่เคยอีกแหละคุณ”
“ลุงเนี่ยนะเป็นคนยังไงกันแน่?   วิทยาศาสตร์ที่ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ   ลุงรู้มั้ยความก้าวหน้าของคนเราในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรงเลยนะ   นักวิทยาศาสตร์เป็นคนที่สำคัญอย่างมากในโลกนี้เลยก็ว่าได้
แต่นี่อะไรลุงกลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เอาเสียเลย   ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเสียเหลือเกิน”
นักศึกษาปิดตำราของเขา   และนั่งเงียบไม่พูดอะไรขึ้นอีก ในช่วงเวลานั้นก้อนเมฆสีดำได้แผ่ขยายและปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ลมเริ่มพัดแรงขึ้น  มีฟ้าแลบแปลบปลาบ   เป็นเหตุบอกว่าพายุกำลังจะมา   และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกกว่าครึ่งซึ่งไกลมากกว่าจะถึงฝั่ง
คนแจวเรือแหงนขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น   ”ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาถึงเราในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?”
นักศึกษาพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจกลัว
“ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง”
บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างประหลาดใจบ้างแล้ว   และพูดว่า
“อะไรกัน   นี่คุณว่ายน้ำไม่เป็นหรอกรึ   คุณมีความรอบรู้มากมายออกขนาดนี้   ประวัติศาสตร์เอย
ภูมิศาสตร์เอย   และวิชาวิทยาศาสตร์เอยคุณก็รู้   แต่ทำไมคุณถึงไม่ไปเรียนการ
ว่ายน้ำด้วยเล่า   อีกสักประเดี๋ยวเถอะ   คุณก็จะได้รู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย”
ลมพายุพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ   เรือแจวลำน้อยถูกคลื่นและลมโหมซัดพัดกระหน่ำใส่เข้ามา
ในไม่ช้าไม่นานเรือแจวก็ถูกคลื่นและพายุซัดจนเรือพลิกคว่ำคนแจวเรือจ้างสามารถ
ว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย    แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสาร
ได้จมหายไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดนั้นเอง

ที่มา : http://www.nithan.in.th/